ค้นหาบล็อกนี้

วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554

รีบตรวจสอบหนี้สิน และทำหลักฐานด่วน


วรวรรณ ธาราภูมิ
 CEO บลจ. บัวหลวง

30 ตุลาคม 2554

(สรุปมาจากบทความในกรุงเทพธุรกิจ)

1.       บ้านจมน้ำ รถพัง ทำยังไง

เครดิตบูโร เขาแนะนำให้สำรวจดูสินทรัพย์ที่ได้รับความเสียหายว่ามีอะไรบ้าง โดยเฉพาะสินทรัพย์ที่เป็นบ้าน รถ มอเตอร์ไซค์  

ถ้าบ้านเสียหาย ให้ถ่ายรูปบ้านไว้โดยในรูปต้องเห็นบ้านเลขที่ด้วย เพราะแบงค์ปล่อยสินเชื่อโดยระบุเป็นบ้านเลขที่  ถ้ามีรถเสียหายก็ถ่ายรูปให้เห็นทะเบียนรถ จะได้นำไปให้แบงค์และประกัน

             ถ้าถ่ายรูปไม่ทัน เพราะบ้านเลขที่กับทะเบียนจมน้ำไปแล้ว  ค่อยว่ากันหลังน้ำลด

และสำหรับคนที่ยังมีภาระสินเชื่อ  เครดิตบูโร แนะนำให้ทุกคนที่มีบัญชีสินเชื่อต่างๆ กับแบงค์รีบโทรไป Call Center ของแบงค์ด่วนที่สุดเพื่อแจ้งว่า...

ข้าพเจ้า ชื่อ .........นามสกุล........เป็นลูกค้าของแบงค์.......ขอให้ Call Center บันทึกเสียงการสนทนาไว้เป็นหลักฐานว่าข้าพเจ้าไม่มีเจตนาจะผิดนัดชำระหนี้ช้า แต่เนื่องจากทางบ้านประสบอุทกภัยน้ำท่วม อาจทำให้การชำระหนี้ล่าช้าไปในช่วงเวลาดังกล่าวนี้  ไว้น้ำลดลงสู่ระดับปกติ ข้าพเจ้าจะรีบติดต่อเพื่อดำเนินการต่างๆ ที่คั่งค้างไว้โดยเร็วที่สุด  

ที่เครดิตบูโรเขาแนะนำอย่างนี้ เพราะว่าการที่ลูกค้าแจ้งให้แบงค์ทราบก่อน จะแสดงว่าไม่มีเจตนาที่จะผิดนัดชำระหนี้  สถานะการก็ของเราจะเข้าไปอยู่ในโปรแกรมพักหนี้ของแบงค์ ซึ่งแบงค์จะแปลว่าลูกค้ายังไม่ได้เป็นคนผิดนัดชำระหนี้  

นอกจากนี้ ให้ไปขอ ตรวจสอบข้อมูลเครดิต ของตัวเองจากเครดิตบูโรโดยตรง ซึ่งในเขตพื้นที่กรุงเทพให้ไปที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ศาลาแดง จะได้รับข้อมูลกลับไปในทันที หรือไปติดต่อขอ ข้อมูลเครดิตได้ที่แบงค์ กรุงไทย และธนชาต ทุกสาขา โดยไปยื่นแบบคำขอ ระบุที่อยู่ที่จะให้ส่งข้อมูลไปให้ เราจะได้รับข้อมูลเครดิตที่ระบุสินเชื่อทุกประเภทของเรา ณ วันที่ 30 ก.ย. 2554  ซึ่งจะแสดงฐานะการชำระหนี้และข้อมูลเครดิตล่าสุดก่อนน้ำท่วมของเรา 

เมื่อน้ำท่วมคลี่คลายแล้วก็ให้นำหลักฐานรูปถ่ายความเสียหายที่เกิดไปติดต่อกับแบงค์เจ้าหนี้เราโดย เร็วที่สุด เพื่อขอเข้าโครงการและรับความช่วยเหลือต่อไป และรีบติดต่อขอเคลมประกันทันทีเพื่อจะได้รู้ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น ประกันจะจ่ายชดเชยให้เท่าไร แล้วเราต้องจ่ายเองเท่าไร เราจะได้เตรียมวางแผนการเงินได้ถูกต้องใกล้เคียงที่สุด

2.       ต้องใช้เงินบูรณะหลังน้ำลด

ใครที่ยังไม่เชื่อเรื่องที่ต้องมีเงินสำรองฉุกเฉินไว้จำนวนหนึ่งซึ่งต้องแปลงเป็นเงินสดได้ง่าย ก็คงต้องเชื่อกันแล้ว เพราะเหตุการณ์อันไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้เสมอ และเราต้องใช้เงินเพื่อฟื้นฟูที่อยู่อาศัย ยานพาหนะ ของเราที่เจอปัญหาน้ำท่วม  

ซึ่งหากส่วนที่เราสำรองไว้ไม่พอ เราก็ต้องขายสินทรัพย์ที่เราลงทุนออกไปบ้าง  ยังไม่ตายหาใหม่ได้เสมอ  อย่าไปร้องห่มร้องไห้เสียดายเลย  โอกาสจะกลับมาลงทุนใหม่มันมีได้ตลอด เอาชีวิตให้รอดก่อน  แล้วมาแก้ไขฟื้นฟูให้กลับมายืนใหม่ได้อีกครั้ง  เมื่อยืนได้ดีแล้วเราค่อยสะสมใหม่ ลงทุนกันใหม่ ทั้งนี้ ขอแนะนำให้พิจารณาแพคเกจฟื้นฟูของธนาคารต่างๆ ที่จะทยอยออกมาช่วยเราด้วย

วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2554

วิกฤตอเมริกา ตอนที่ 18




คุณวรวรรณ ธาราภูมิ
 CEO บลจ.บัวหลวง

16 ตุลาคม 2554



วันนี้ข่าวไทยลงกันบ้างแล้วเรื่อง Occupy Wall Street ที่ลุกลามทั้งในและนอกประเทศ  ในชื่อ Occupy Tokyo,  Occupy Philippines , Occupy Rome,  Occupy Spain, Occupy Germany  ไต้หวัน  ออสเตรเลีย อัมสเตอร์ดัม , เอเธนส์  บรัสเซลส์  เจนีวา ปารีส  ซาราเยโว ซูริก ฯลฯ
 
โดยที่ต้นแบบคือ Occupy Wall Street นั้น ล่าสุดคนจำนวนมากจริงๆ พากันไปเดินขบวนในไทม์สแควร์ นิวยอร์ค ร้องว่า “Wall Street” แล้วก็มีคนรับว่า “Our Street” พักนึงก็เอาใหม่ร้องนำว่า “Banks got bailed out” คนอื่นก็รับว่า ‘We’ve got sold out”

เรียกว่าเร้าใจดีคล้ายๆ กับในไทยที่มีช่วงหนึ่ง สีอะไรจำไม่ได้ที่ร้องว่า นายกขายชาติ  อะไรประมาณนั้นละ

กลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านพวกนี้เริ่มเข้า Step ของการต่อสู้บนท้องถนน นั่นก็คือโดนตำรวจนั่งมอไซต์ ลากตัวนักต่อต้านครูดไปตามพื้นถนนคนแล้วคนเล่า แม้เขาจะวิ่งหนีกันอลหม่าน แม้บางคนจะเป็นวัยรุ่นต้นๆ 

ภาพเหล่านี้จะเพิ่มดีกรีความร้อนแรงให้คนอื่นๆ มาร่วมชุมนุมได้ไม่ยาก

รู้ไหมว่าผู้ร่วมชุมนุมคนอื่นๆ เขาทำอะไร  ลองเดาสิ

เข้าไปช่วยใช่ไหม

ไม่ช้าย... นั่นมันเชยส์ แล้ว

เขาพากันเอา iphone ออกมาถ่ายคลิปปุ๊บ แล้วส่งรูปปั๊บไปลงเนตน่ะสิ เราถึงตามเรื่องได้ฉับไวกันไง

แหม มันน่าสังเกตนะว่าแม้กระทั่งกลุ่มต่อต้านนักธุรกิจใหญ่ๆ ก็ยังเป็นลูกค้า iphone  55555+

ว่าแล้วพวกที่ถ่ายคลิปก็ตะโกนว่า โลกกำลังจ้องดูเรา ละอายใจบ้างไหม (ไอ้คุณ) ตำรวจ

โอ้วๆๆๆ เหมือนตอนเกิดเหตุ Arab Spring เปี๊ยบๆ เลยละ และก็เหมือนบ้านเราที่ร้องสั่งกันว่า ถ่ายรูปไว้เลย ถ่ายคลิปไว้เลยครับ พี่น้องงงง เอ๊ยยยยยยยย ....

ทั้ง 2 ฝ่ายกำลังวิ่งเข้าหาปัญหากันแล้ว และเป้าหมายของตำรวจกับผู้ต่อต้านมันเหมือนกันในฝั่งตรงข้าม

ฮ้วย  แปลว่าอิหยัง เหมือนกันในฝั่งตรงข้าม

แปลว่าเขากำลังปกป้องระบบ  แต่คนละระบบเดียวกัน

ตำรวจยืนหยัดปกป้องระบบเก่าที่กำลังแตกร้าวแล้ว ในขณะที่ผู้ต่อต้านกำลังพยายามปักหลักต้นกล้าต้นใหม่ แม้คนปักยังไม่รู้ว่ามันจะเป็นต้นอะไรเมื่อโตขึ้นมา แต่เขารู้ว่าต้นเดิม ระบบเดิม มันไปไม่ไหวแล้ว

เพราะมันทำให้เขาไม่มีงานทำ ทำให้ค่าจ้างตกต่ำลงไปทุกวันเมื่อหักเงินเฟ้อแล้ว ทำให้หนี้การศึกษาพอกพูนบนหลังนักเรียนและพ่อแม่ ทำให้ราคาบ้านตกต่ำลงไปเรื่อยๆ และลงลึก และทำให้ธนาคารกลางหรือ FED ของเขาที่มีลุงเบน เบอร์นานเก้ นั่งหัวล้านเด่นเป็นสง่า ทำลายค่าเงินดอลลาร์ไปทุกวัน

เด็กในกลุ่มนี้จะถูกชักจูงได้ง่าย เมื่อตอนกำลังเลือกตั้ง นักการเมืองสัญญาว่าจะให้โลกทั้งใบใส่มือ โอบามา ก็ใช้วิธีนี้หาเสียงด้วยคำว่า “Change”

ใช่  มันเปี๋ยนไป่

ใครเปลี่ยน

โอบามา ไง เปลี่ยนเป็น Zer_0_bama ไปแล้ว

เด็กๆ เจ็บปวดกับการเปลี่ยนในครั้งนี้ เขาต้องการความเปลี่ยนแปลงก็จริงเมื่อบุชนั่งในทำเนียบขาว  แต่นี่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่เขาต้องการจากโอบามา

การเปลี่ยนแปลงจะพาเราไปในทิศทางที่ต่างไปจากเดิม แต่มันไม่ได้แปลว่าจะต้องเป็นทิศทางที่เราอยากไป
โอบามา ดูยิ่งใหญ่ พึ่งพาได้ เมื่อ บุช ยังนั่งเป็นประธานาธิบดี แต่เมื่อ โอบามา มานั่งในเก้าอี้เดียวกัน เราก็เริ่มกังขาแล้ว
 
เราไม่รู้ว่าการประท้วงครั้งนี้จะจบลงอย่างไร หรือเพียงแค่เปลี่ยนตัวดูดเลือดกลุ่มหนึ่งไปยังอีกกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
แต่เรารู้ว่าความรุนแรงที่เริ่มขึ้น จะนำพาความรุนแรงยิ่งกว่าตามมา

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาตามเวลานิวยอร์ค พวกประท้วงที่ปักหลักพักค้างตามฟุตบาทของถนน Wall Street พูดกันว่าวิธีแก้หนี้สินของสหรัฐทำได้ง่ายๆ เลย นั่นก็คือ หยุดสงคราม และเก็บภาษีคนรวยซะ บางคนก็ตะโกนว่า เฮ้ พวกเราได้กลิ่นเงินแล้ว

อเมริกา อาจจะกำลังพร้อมที่จะปฏิวัติระบบระบอบใหม่กันแล้ว

เพราะย้อนไปในยุคสงครามเย็น CIA เคยบอกทำเนียบขาวว่าประเทศที่พร้อมจะมีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงระบบนั้น ต้องพร้อมด้วย 3 สิ่งนี้ แต่ไม่ใช่แก้วสามประการนะ
 
1.  ชนชั้นกลางหาย เพราะกลายไปเป็นชนชั้นล่าง
2.  มีช่องว่างที่ห่างกว้างระหว่างคนมีกับคนจน
3.  มีคนจำนวนมากที่กำลังโกรธแค้น

แล้วอเมริกาในวันนี้ มีข้อไหนล่ะ ที่ไม่ใช่  ในเมื่ออัตราการว่างงาน 9.1% ว่ามากแล้ว หากดูในมุมฐานกว้างมันมากถึง 16.5% เลยทีเดียว และคนจำนวนมากถึง 6.2 ล้านคนที่หางานทำไม่ได้มามากกว่า 6 เดือนแล้ว

คนรวยมากๆ เพียง 1% ของจำนวนประชากรทั้งหมด กลับเป็นผู้ครอบครองความมั่งคั่งของประเทศมากกว่า ครึ่ง ในขณะที่คนอีก 99% กลับยากแค้น และความห่างระหว่าง 1% กับ 99% ก็เพิ่มมากขึ้น  ชนชั้นกลางในอเมริกันกำลังสูญสลายไปเพราะที่ทำมาหาได้ก็โดนดูดเข้าท่อไปจบลงที่มหาเศรษฐีกันหมด  ราคาบ้านก็ยังย่ำแย่ไปเรื่อยๆ  ทำให้ความมั่งมีของอเมริกันหายลงไปอีก โดยเมื่อ 4 ปีก่อน ตามรายงานของ David Rosenberg คนอเมริกันกำลังจนลงไปอีก 7 ล้านล้านดอลลาร์ แล้ววันนี้จะแย่ลงไปอีกปานไหน

คนอเมริกันส่วนใหญ่กำลังเริ่มคิดว่าระบบกำลังทำให้เขาล้มเหลว  ไม่มีอีกแล้ว American Dream ทั้งๆ ที่พวกเขาทำตามกฏ ตามระบบทุกอย่าง  

อัตราว่างงานของเด็กจบใหม่เทียบได้เท่ากับครั้งเศรษฐกิจตกต่ำสุดๆ ในยุค The Great Depression ช่วงทศวรรษ 1930s แล้ว และมีคนจำนวนมากกว่า 45 ล้านคนที่ไม่อดตายเพราะไปพึ่งพา Food Stamps
  
และเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะมองว่ามันเป็นความผิดพลาดของคนอื่น พวกเขาพากันคิดว่า

-  จะผิดได้ยังไงที่สอบตกวิชาเลขคณิต เพราะระบบที่ดีต้องหางานดีๆ ให้เขาทำได้
-  มันไม่ใช่ความผิดของเราที่ถูกยึดบ้านไปทั้งๆ ที่ไปซื้อเกินกำลังตัว ระบบนั่นแหละที่ทำให้ราคาบ้านตกลง
-  ที่ตกงานนี่มันก็เพราะระบบทำให้บริษัทต่างๆ ไปจ้างงานในประเทศอื่นที่มีค่าแรงถูกกว่า
-  ถึงจะไม่มีเงินเก็บออมเลย ก็ไม่ผิด เพราะระบบแหละที่ทำให้พวกแบงค์ได้เปรียบ เอาเงินเราไปหมด

มันไม่ใช่ความผิดของพวกเขาที่ประธานาธิบดีนิกสันไปปิดหน้าต่างแลกเปลี่ยนทองคำตั้งแต่ปี 1971 เป็นต้นมา
และมันไม่ใช่ความผิดของพวกเขาที่คนจีนสามารถผลิตสินค้าที่ดีกว่าและถูกกว่า

มันไม่ใช่ความผิดของพวกเขา ที่ธนาคารกลางสหรัฐตั้งหน้าตั้งตาพิมพ์แบงค์ดอลลาร์ออกมากระตุ้นเศรษฐกิจเรื่อยๆ โดยไม่มีทองคำมารองรับ แถมยังส่งเสริมให้พวกเขาเอาแต่กู้ เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐไปกดดอกเบี้ยจนต่ำเตี้ยติดดิน

และจริง มันไม่ใช่ความผิดของพวกเขาเลย ที่ตลาดที่อยู่อาศัยจะฟองสบู่แตกโพละ อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ใช่ผู้จุดชนวนเริ่มแรกให้มันเกิดขึ้น

เมื่อระบบพึ่งพาไม่ได้ ล้มเหลวไปหมด แล้วจะมีอะไรให้คนอเมริกันพึ่งได้ล่ะ

คำแนะนำก็คือ พึ่งตัวเอง ตัดรายจ่ายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เก็บเงินไว้ ซื้อทองคำสะสมไปเรื่อยๆ ไม่งั้นก็ไปเป็นทนายความซะ เพราะจะมีคดีล้มละลายมาให้ทำอีกมาก

แต่แทนที่เขาจะพึ่งตนเอง พวกเขากลับ Occupy Wall Street

แน่ละ มักไม่มีใครร่วมขบวนการชุมนุมต่อต้านด้วยเหตุผลดีๆ หรอก คนมักร่วมขบวนด้วยเหตุผลห่วยๆ นั่นก็คือ พวกเขาต้องการปาฏิหาริย์ ต้องการได้เงินฟรีๆ 

บางคนก็ต้องการอำนาจ  ในขณะที่บางคนก็ต้องการทำลายใครบางคน เช่น หมั่นไส้น้องเขยชิบ มันทำงานที่ธนาคาร JP Morgan ได้เงินตั้งเยอะ หากเรามาประท้วงกับเขา มันจะได้ไม่มีโบนัสมาเบ่งใส่เรา สมหน้าแม่ง

บางคนมาเพราะต้องการได้เงินเดือนค่าจ้างขึ้น บางคนต้องการให้หนี้สินที่มีเจ๊าๆ กันไป  แบบว่าตื่นขึ้นมาก็หายวับไปกับตาทั้งหนี้บ้าน หนี้บัตรเครดิต และหนี้การศึกษา

และบางคนก็พกมือตบ ตีนตบ มาร่วมขบวนการเสื้อสี เอ๊ยไม่ใช่ ... ผิดวิกแล้ว  บางคนมาร่วมขบวนการ Occupy Wall Street เพื่อหากิ๊กหาฮีโร่เพราะลูกผัวไม่สนใจแล้วนี่ มาร่วมม็อบทำให้มีความสุข มีความสำคัญขึ้นตั้งเยอะ

บางคนมาเผื่อเมียที่ตายไปแล้วจะฟื้นขึ้นมาจากหลุม ในขณะที่อีกคนต้องการให้เมียแก่ๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ลงหลุมไปซะที  และบางคนก็ออกมาร่วมขบวนเพื่อต่อต้านการใช้ยาดับกลิ่นตัว แต่ให้ไปใช้สารส้มแทนเพื่อลดโลกร้อน

ก็สาระพัดเหตุผลละ ซึ่งไม่ว่าจะมายังไงด้วยเหตุผลดีหรือไม่ดี เขาไม่ถือ  เพราะกฏของม็อบคือให้คนมามากๆ เข้าไว้ มาแล้วเอาตาข่ายดำคลุมไว้ทั้งถนนเลยก็ได้  อย่างเท่เลย  คนจะได้หนีกลับไปไม่ได้หากเขาปราบปรามกวาดล้างกัน จะได้มีโล่ห์มนุษย์เอาไว้ชี้ว่า ตำรวจยิงขาขาด แขนขาด ทหารฆ่าคนตาย ฯลฯ   

หลายคนเชื่อว่านายแบงค์ร่ำรวยและชั่วช้า  บางคนบอกว่าพวกบริษัทน้ำมันต่างหากที่เป็นอย่างนั้น (เลยฟ้องศาลซะหน่อย) อีกพวกคิดว่าคนรวยในโลกนี้ชั่วช้าทุกคน แต่เมื่อใดที่พวกตูสู้จนรวยละก็ อย่ามาขวางทางการเป็นอำมาตย์นะ มีเคือง) และก็มีอีกพวกที่คิดว่าไม่ใช่ใครหรอกที่ชั่วร้าย มันคือพวก Occupy Wall Street หรือไอ้เจ้าที่เดินขบวน ปักหลักด่ารัฐบาลทุกวันทุกคืนนั่นแหละ ที่ขวางความเจริญของบ้านเมือง

อุ๊ย คุ้นๆ ไงไม่รู้ 

ใครพวกใคร หากผ่านมาอ่าน อย่าถือสา เพราะการแหย่ม็อบมันหนุกดี ก็ม็อบเป็นเป้าที่หาเรื่องแหย่ได้ง่ายที่สุดนี่นา แล้วก็แหย่ขึ้นซะด้วย

เอาละ หยุดแหย่มั่ง เดี๋ยวจะอยู่ไม่ถึงเกษียณ

ประเด็นมันอยู่ที่ผู้ประท้วงที่น่าสงสารเหล่านั้นต่างหากที่กลายเป็นเหยื่อความต้องการของใครก็ไม่รู้ในทุกครั้งของประวัติศาสตร์

เพราะเมื่อสหรัฐอเมริกาจะปกป้องจักรวรรดิ์ เขาก็จะประนามพวกชนชั้นกลาง

ทำไมล่ะ

ก็เพราะนั่นเป็นวิถีแห่งจักรวรรดิ์

พูดไม่รู้เรื่องอีกแล้วเว่ย วิถีบ้าบอไรฟะ เดี๋ยวปั๊ดเหนี่ยว

อ้าว เล่าให้ฟังดีๆ  ต่อยกันเลยไหมล่ะ หรือจะฟังต่อ

เออ ๆ  ฟัง  เร็วๆ ดิ

จักรวรรดิ์จะนำสินค้าราคาถูกเข้ามา บางทีก็เอาเงินของประเทศอื่นเข้าบ้านตัว

แต่ไม่ว่าจะเอาเข้ามาแบบยึดด้วยกำลัง หรือค้าขาย หรือด้วยการจ่ายเงินของจักรวรรดิ์ไปแลกสินค้าก็ตาม ผลของมันก็ไม่ต่างกันหรอก

นั่นก็คือ จักรวรรดิ์จะไม่สนใจอุตสาหกรรมและค่าแรงงานในประเทศ เพราะหาจากข้างนอกมันถูกกว่าตั้งเยอะ

เอ้า กระทืบ Like ให้ด้วยดิ แอบอ่านอยู่ได้ ไม่ลงทุนแล้วยังไม่ลงแรงอีกนิ 55555+

จักรวรรดิ์โรมันยุคโบราณนำข้าวสาลีจากอียิปต์ลงเรือมาขึ้นฝั่งโรม แล้วก็แบ่งให้ผู้คนในโรม เออ อันนี้คล้ายๆ Food Stamps ของสหรัฐจังแฮะ

ผลก็คือ ข้าวสาลีที่ชาวโรมเพาะปลูกภายในขายไม่ออก ตลาดข้าวสาลีพังทลาย ชาวนาเล็กๆ อยู่ไม่ไหว ต้องไปทำอย่างอื่น ไม่งั้นเมื่อกินข้าวสาลีจนหมดยุ้งแล้วก็ไปเป็นวณิพก
 
โรมในยุคนั้นยังเอาทาสเข้ามาด้วย  แล้วพวกโรมันที่มีเงินกับมีคอนเน็คชั่นกับชนชั้นปกครอง (บรรดานักการเมืองและผู้มีอิทธพลนั่นแหละ) ก็ไปยึดฟาร์มข้าวสาลีที่เจ๊ง เอามาทำนาเองโดยให้ทาสพวกนี้ไปเป็นแรงงาน

นอกจากชาวนาโรมจะตกงานแล้ว แรงงานทั่วไปก็ยังตกงานด้วย

อืม .. งั้นแหละ เปิดเสรีกันเข้าไป แล้วบอกว่าดีเพราะคนจะได้ซื้อของถูก

เวลาผ่านไป  อะไรๆ ก็ยิ่งแย่ขึ้นทุกที ในที่สุด ชาวนาโรมก็ต้องขายลูกไปเป็นทาสให้นายทุนเจ้าของฟาร์ม แล้วก็ขายตัวเองตามมา

แล้วนายทุนก็เริ่มหัวใส ไปบอกให้ชนชั้นปกครองออกกฏหมายห้ามชาวนาโรมันขายตัวเองไปเป็นทาส แต่ต้องอยู่ในนาเดิมที่ไม่ได้เป็นของตัวอีกต่อไปแล้ว  และต้องทำนาฟรีๆ ให้เจ้าของใหม่
 
สเปน ต่างกับโรมันมาก จักรวรรดิ์สเปนมีอายุไม่ยาวนานนักในศตวรรษที่ 16 แต่ก็ครอบครองดินแดนในโลกใหม่ และนำทองคำกับแร่เงินจำนวนมหาศาลเข้ามาในประเทศ ก็คล้ายๆ กับพิมพ์เงินเองได้นั่นแหละ อยู่ดีๆ ก็รวยขึ้นทันตาเห็นเลย  คนสเปนเลยใช้เงินเติบเหมือนคนอเมริกันในปัจจุบันที่ใช้ดอลลาร์  ใช้มันซื้อของทุกอย่างจากต่างประเทศ แล้วจักรวรรดิ์สเปนก็ละเลยอุตสาหกรรมกับเกษตรกรรมของตน ไม่นานสินค้าก็ราคาพุ่งสูงขึ้นเพราะไม่มีใครผลิต ชนชั้นปกครองก็ไม่ทำงานอะไร มีแต่ใช้จ่าย  ชนชั้นกลางก็สิ้นสลาย  แล้วจักรวรรดิ์ก็ล่ม

กลับมาดูวันนี้สิ มีอะไรที่ต่างจากอดีตบ้าง

คนรวยก็รวยขึ้น รวยขึ้น รวยยังไงก็ไม่เข็ดอย่างเพลงของน้าแอ๊ด คาราบาว สักที  ชนชั้นกลางก็จนลง จนลง  เพราะไม่สามารถต่อสู้กับสิ่งที่จักรวรรดิ์ไปปล้นหรือไปทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนการค้ากับประเทศอื่นได้  

ในวันนี้ คนร่ำรวยจากเอเชีย เข้ามาซื้อทรัพย์สินในสหรัฐด้วยเงินดอลลาร์ อันเป็นสกุลเงินที่เขารู้ว่าไม่มีวันได้ชดใช้หนี้ได้ตามมูลหนี้ที่แท้จริง  เขาฉลาดสิ  ถึงได้เอาดอลลาร์ของคนอเมริกันที่มีค่าเพียงเศษกระดาษมาซื้อทรัพย์สินในต่างประเทศ  ดีกว่ากอดแบงค์กงเต้กมากมาย

คนชั้นกลางชาวอเมริกันใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยเป็นสุขที่ได้ขายลูกๆ ใช้หนี้ด้วยการเป็นทาสโดยถาวร เพราะผลของความฟุ่มเฟือยนั้นทำให้ลูกๆ ของเขาในวันนี้มีหนี้สินมากถึง 5 -15 เท่าของที่ลูกๆ จะหาเงินมาได้ต่อปีในอนาคตแล้ว หากเด็กๆ ไม่ก่อการปฏิวัติให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เขาจะต้องทำงานไปจนสิ้นลมหายใจเพียงเพื่อชดใช้หนี้ที่พ่อแม่ก่อขึ้นเท่านั้น

นี่คือคนรุ่นลูกเท่านั้น แล้วรุ่นหลานล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น  ถ้าลูกๆ ชาวอเมริกันในวันนี้เป็นทาสกันไปหมดแล้ว และไม่สามารถเอาลูกที่จะเกิดขึ้นในวันหน้าไปขายได้อีก  เพราะคนรุ่นลูกต่างมีหนี้เพิ่มอีกจากการศึกษาที่จะเป็นหนี้ไปตลอดชีวิต มีหนี้บ้าน มีหนี้ค่ารักษาพยาบาล (นี่ยังไม่นับหนี้ประกันสังคมและสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลเลยด้วย)  

เด็กๆ อเมริกันรุ่นลูกพวกนี้เขาจะทำอะไรได้ล่ะ นอกจากจะเข้าร่วมขบวนการ Occupy Wall Street

อ่านแล้วขอให้คิดเทียบกับเมืองไทยด้วย  เทียบกับทุกสี  ทุกกลุ่ม นั่นแหละ จะเข้าใจอะไรๆ มากขึ้น

และเชื่อเหอะ คนของเราที่ทำอะไรลงไปแล้วน่ะ เขายังไม่เข้าใจได้อย่างนี้เลย

วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เมืองไทยยามไกลบ้าน ตอนที่ 3.1

คุณวรวรรณ ธาราภูมิ
 CEO บลจ. บัวหลวง

12 ตุลาคม 2554


ห่างหายไป 5 วัน เพราะไปเรื่องงานที่ตุรกี

กลับ มาถึง กทม. วันนี้ช่วงบ่าย เห็นข่าวความเดือดร้อนแสนสาหัสของผู้คนชาวไทยเรื่องน้ำท่วมหนักที่ใครๆ ก็ว่าน่าจะหนักเท่าปี 2538

แต่คงลืมอาการที่หนักกว่านั้น หรือไม่ก็เกิดไม่ทันปี 2526  ซึ่งลำบากที่สุดกันยาวนานถึง 4 เดือน ใน กทม.

ตัวอย่างอาการของปี 2526

นอนชั้นล่างที่บ้านลาดพร้าวซอย 22 ตื่นมากลางคืนจะเข้าห้องน้ำ พอเอาขาลงพื้นจากเตียงนอน ขาจุ่มน้ำถึงเข่า ดีที่เราติดปลั๊กไฟแบบไม่ต้องก้มลงไป คือตืดระดับสูงมากจากพื้น ไฟเลยไม่ดูด  แต่กี่บ้านที่ทำแบบนี้ล่ะ

พื้นชั้นล่างของบ้าน ไม้ปาเก้หลุดลอยน้ำ และมีงูว่ายเพ่นพ่าน 1 ตัว

ใช้ห้องน้ำชั้นล่างไม่ได้ ก็ไปใช้ชั้นบน กดชักโครก ราดน้ำไม่ได้  ทองคำของทุกคนเลยลอยอืดเต็มในนั้น

ญาติผู้ใหญ่ส่งคนมาช่วยทำกระสอบกั้นน้ำ และซ่อมแซมให้พออยู่ได้  คนงานที่มาช่วย ร้องไห้กันหลายคน บอกว่าบ้านผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยครับ ห่วงลูกเมียเหลือเกิน อยู่กับน้ำท่วมขัง ห่วงโจรผู้ร้ายจะมาปล้นชิง แต่นายบอกให้มาช่วยบ้านนี้ก่อน

ไปทำงานแถวเพชรบุรีตัดใหม่ ขับรถไปตายลอยน้ำ ต้องจอดและเดินลุยน้ำสูงประมาณเอว ขยะแขยงที่สุด แต่มันจำเป็นเพราะเป็นงานเลี้ยงชีพ

กลับมาบ้านก็ต้องเดินในบ้านชั้นล่างแบบมีไม้กระดานข้ามน้ำท่วมอย่างกับเดินบนสะพานเล็กๆ ข้ามคลอง

การหุงหาอาหารลำบากที่สุด

และน้ำเริ่มเน่า มีสิ่งไม่พึงประสงค์ลอยอืดหลายชนิด

ทรมานทั้งกายและใจมากค่ะ

นั่นละปี 2526 ที่ไม่มีใครพูดถึง

2-3 วัน ก่อนไปตุรกี มีโอกาสพบนายกรัฐมนตรี ในวันที่ท่านนายกจะไปพม่า
ได้เตือนไปว่าในโมเดลเศรษฐกิจต่างๆ ของรัฐบาลนั้น ยังไม่ได้เผื่อเรื่องน้ำท่วมเลย และได้ถามถึงแผนรับมือ เพราะเชื่อว่าจะกระทบเศรษฐกิจแน่นอน และเพราะเชื่อโดยส่วนตัวที่เป็นลูกแม่น้ำ ว่าปีนี้จะหนักที่สุด

อย่าถามว่ารู้ได้อย่างไร เพราะอธิบายได้ยาก

ดูท่าทางนายกในวันนั้น จะยังไม่คิดว่าจะหนัก  

ขอบอกว่าอาการน่าเป็นห่วงมากค่ะ อารมณ์คนจะเครียดที่สุด เพราะบ้านที่จมน้ำนั้น สถานการณ์และสุขอนามัยมันเลวร้ายมาก 

บ้านเกิดที่อยุธยาก็แย่แล้ว อยู่ติดแม่น้ำ 3 สาย เจ้าพระยา ป่าสัก และลพบุรี เป็นบ้านไม้แบบโบราณที่
ยกใต้ถุนสูง 5 เมตร เพราะน้ำท่วมบ่อยๆ เป็นปกติ

เวลามีเรือมาขายก๋วยเตี๋ยว คนซื้อจะลงไปซื้อที่เรือ ยืนแช่น้ำระดับเข่า หรือโคนขา รอก๋วยเตี๋ยว  นี่คือภาพปกติ

ก็เราเอาน้ำท่วมไว้สู้พม่าไง เลยไม่ค่อยตกอกตกใจอะไรมากนัก

แต่คิดดูนะ เวลาเรายืนเอาตีนแช่น้ำรอรอบเรือ แม่ค้าเขาจะลวกเส้นในหม้อน้ำเดือด แล้วความที่กลัวเส้นไม่เหนียวหนึบ ก็เลยเอาเส้นมาจุ่มต่อในน้ำที่เรายืนแช่ตีนรอกันนั่นละ แล้วก็โปะเส้นใส่ชาม ใส่เครื่อง ส่งให้เรา

แล้วถ้าน้ำท่วมถึงเอวล่ะ นอกจากเราจะทานก๋วยเตี๋ยวแช่ส้นตีนแล้ว เรายังต้องทานก๋วยเตี๋ยวแช่ก้นใครมั่งก็ไม่รู้ 

นี่ไง เคล็ดลับก๋วยเตี๋ยวอยุธยา

บางคนอาจเป็นฮ่องกงฟุต บางคนอาจเป็นริดสีดวง .....

แต่อร่อยหนักหนา เห็นซดกันซู้ดซ้าด

ก่อนไปตุรกี โทร ไปถามที่บ้านอยุธยาพบว่าน้ำท่วมจากพื้นดินประมาณแค่หน้าอก อาหารการกินต้องอาศัยคนรู้จักพายเรือไปส่งให้ผู้เฒ่าผู้แก่ที่บ้าน 2 คน ที่ไม่ยอมทิ้งบ้านมาอยู่ที่ กทม. เพราะห่วงข้าวของบรรพบุรุษแต่โบราณว่าจะโดนคนเอาไปหมด คราวไฟไหม้ใหญ่หลายสิบปีก่อนก็โดนคนปราณีมาช่วยยกพระพุทธรูปไปสัก 80% แล้ว ยังถ้วยโถโอชามอีก เขาก็ห่วงสมบัติเก่าว่าจะโดนคนมาเมตตาเอาอีกแล้วจะไม่เหลือให้ลูกหลานได้ศึกษาว่าแต่ละชิ้นมีความเป็นมาของบรรพบุรุษที่ลากสายโยงไปได้ถึงรัชกาลเก่าๆ ครั้งรัตนโกสินทร์ อยุธยา อู่ทอง สุโขทัย กระทั่งเชียงแสน ได้อย่างไร

เขาไม่อยากให้ลูกหลานลืมกำพืดว่าเคยทั้งสุขสบาย ทั้งยากแค้นแสนสาหัสอย่างไร ทำอะไรจะได้ไม่ลืมตน ไม่ลืมราก

พอกลับจากตุรกีมาถึง กทม. วันนี้ ทราบว่ามันท่วมถึงพื้นชั้นบนซึ่งยกสูง 5 เมตรแล้ว ท่วมมิดเข่าเลย

ดังนั้น จากพื้นดินขึ้นมา น้ำท่วมสูงไม่ต่ำกว่า 6 เมตรแล้ว ต้องมีการย้ายคนแก่มา กทม. มาอยู่บ้านแม่ที่ลาดพร้าว  

ระหว่างที่พี่ชายช่วยไปย้ายคนแก่ 2 คน น้าที่แก่แล้วก็หกล้มกระดูกสะโพกหัก ต้องเข้าผ่าตัดที่โรงพยาบาลวิภาวดี ที่พี่สาวเป็นหมออยู่ที่นั่น  แล้วบ้านอื่นเขาจะลำบากกันขนาดไหน หากเขาไม่มีใครคอยช่วย ยังมีอีกกี่คนที่ติดน้ำอยู่กันในบ้านที่ไม่เป็นบ้านแล้ว อดอาหาร อดน้ำสะอาด ไม่มีไฟฟ้าใช้ และอาจจะไม่ใครรู้ว่ายังมีคนติดอยู่อีก

และอยุธยาก็ถูกตัดขาด  ปิดไม่ให้ใครเข้า เปิดให้ออกได้เท่านั้น

ขอให้พวกเราไม่ลืมคุณของทหารไทยในยามยาก เพราะในยามที่ลำบากที่สุด ก็มีทหารนี่แหละที่ช่วยเราโดยไม่หวังคะแนนเสียง 

ทหารไทยไม่เคยทิ้งคนไทย และก็เป็นอย่างนี้ทุกครั้ง

ในขณะที่การเมืองส่วนหนึ่งยังคงอาศัยจังหวะนี้ทำคะแนนให้ตัวเองและถล่มคู่แข่ง

เฮ้ ... นักการเมืองที่ทำอย่างนั้น คุณคนไหนที่ทำอย่างนั้นมันน่าขยะแขยงมาก  เอาอย่างนักการเมืองดีๆ บ้างได้ไหม

ความจริงนี่เป็นโอกาสอันดีของชาติไทยที่จะสมานฉันท์ ปรองดอง หรือจะเรียกอะไรให้มันเท่ก็แล้วแต่ ที่จะหันหน้ามาจับมือกันเดินหน้า ช่วยเหลือเยียวยาจิตใจและสภาพบ้านเมือง

เอาเลย นายก เชิญทุกพรรคมาประชุมด่วน ขอความช่วยเหลือ  ขอมันสมอง  ขอประสบการณ์ทุกคนทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล กองทัพ ข้าราชการ สื่อมวลชน และนักธุรกิจจากภาคส่วนต่างๆ มาช่วยกันคิด มากางแผนที่กัน พิจารณาร่วมกัน แล้วพากันไปเข้าเฝ้าเพื่อขอพระราชวินิจฉัย

อย่างน้อยความจริงใจที่จะแก้ปัญหาครั้งนี้โดยไม่แบ่งเขาแบ่งเรา มันเป็นโอกาสเปิดสำหรับประเทศแล้วที่จะให้ทุกคนทั้งคนไทยและต่างชาติได้รับรู้ว่าเราทุกคนจับมือกันป้องกันและเยียวยาภัยพิบัติ

คิดดูแล้วกัน คนไทยที่เห็นข่าวอย่างนี้ เขาจะชื่นใจแค่ไหน มีความหวังเพิ่มขึ้นขนาดไหน

ฝ่ายธุรกิจก็น่าจะยินดีช่วย เพราะนี่คือแผ่นดินเกิดที่เราอยู่ ที่ลูกหลานเราจะเติบโตต่อไป และจะเป็นแผ่นดินตายของเรา เพราะลำพังเงินบริจาคอาจไม่พอแล้ว ภัยธรรมชาติอย่างนี้ ต้องการแรงงานจำนวนมาก

แล้วงบประมาณอีลุ่ยฉุยแฉกแบบเอาไปสร้างสภาใหม่น่ะ อย่าตัดแค่ 10% เลย

ยกเลิกมันให้หมด แล้วเก็บเงินมาใช้ช่วยภัยพิบัติคราวนี้จะดีกว่า

ส่วนพวกกินหัวคิว เอาเปรียบ ควรหาช่องทางลงโทษหนักที่สุด

เอาแบบโอบามาที่ดอดไปลงนามในกฏหมายที่ให้ฆ่าคนอเมริกันที่มีส่วนร่วมกับขบวนการก่อการร้ายได้โดยไม่ต้องพิจารณาความในศาลเหมือนคดีอื่นๆ ก็ได้นะ

วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2554

วิกฤตอเมริกา ตอนที่ 17

วิกฤติอเมริกัน ตอนที่ 17 : แบงค์ Dexia จะเป็นชนวนระเบิดหรือไม่

คุณวรวรรณ ธาราภูมิ
 CEO บลจ. บัวหลวง

6 ตุลาคม 2554



(((((((   คำเตือน  )))))))

ขอฟันธงเรื่องหุ้นไทย  และไม่มีทางผิดเลย แอนตาซิลเป็นพยาน

ตลาดหุ้นต่อไปนี้จะผันผวนขึ้นๆ ลงๆ ต่อไปอีกนาน  55555+ เคี้ยกๆๆๆๆ


ตลาดหุ้นไทยมันก็เหมือนตลาดอื่นนั่นแหละ แล้วก็เป็นฝาแฝดกันมาพักใหญ่แล้ว พอข่าวดีแว้บๆ ก็ขึ้นตามกัน  พอข่าวร้ายวับๆ ก็ลงตามกัน  เหมือนเด็ดดอกไม้ทีละกลีบ แล้วท่องว่า รัก ... ไม่รัก ... รัก ... ไม่รัก ....  

แต่เปลี่ยนเป็น  เขียว .... แดง ....   เขียว .... แดง ....  

นั่นน่ะสำหรับผู้ลงทุนระยะสั้น ชอบออกกำลัง วิ่งเข้า วิ่งออก  แต่กองทุนอย่างพวกเราต้องมองไกลกว่านั้น


เมื่อเงินต้องมีที่ไป และเราลงทุนได้ในกรอบยาวนาน
เมื่อตะวันตกทำตัวเองสมชื่อ คือตก และคงตกอีกนาน (แม้จะมีขึ้นสลับบ้างเป็นพักๆ) 

แล้วเงินมันจะไปที่ไหนล่ะ ก็ต้องไปที่ที่มีศักยภาพกว่าน่ะสิ  เอเชียไง


แม้จีนจะเกิดฟองสบู่ในอสังหาริมทรัพย์ แต่ความที่เป็นคอมมิวนิสต์ รัฐบาลจึงน่าจะควบคุมได้มากกว่าของ EU ของ US และประเทศประชาธิปไตยทั้งหลาย

จริงอยู่ที่ว่าเราน่าจะยังได้รับผลกระทบอีกในอนาคต  อาจมีช็อคใหญ่ๆ เกิดขึ้นเหมือน 2008 จนทำให้หุ้นไทยเดี้ยงสนิท  (ซึ่งมีเหตุจากต่างประเทศทั้งนั้น ไม่ได้เกี่ยวโดยตรงกับเรา) แต่หลังจากนั้นพอเกิดการปรับตัวไปแล้ว อะไรเกิดขึ้นจำได้ไหม)

มันขึ้นพรวดๆ ทุกประเภทสินทรัพย์น่ะสิ      

นี่ไง ถึงได้บอกว่า เวลาตลาดตก มันแป็นข่าวร้ายของผู้ขาย และเป็นข่าวดีของผู้ซื้อ แต่นั่นต้องอยู่ที่ว่าปัจจัยพื้นฐานของประเทศหรือของหุ้นตัวนั้นดีอยู่แล้ว และต้องมีเงินสดด้วยนะ

ไอ้ที่ซื้อตามเซียนเถื่อนที่ไหนโดยไม่ยอมทำการบ้านเองน่ะ สุดท้ายแล้วไปขับแท็กซี่กันก็มาก ถ้ายังเหลือเงินไปเช่าแท็กซี่

เหตุการณ์ที่ว่านี้น่าจะเกิดขึ้นได้ในปีหน้า แต่ไม่ได้รับประกันหรือฟันธง  นี่เป็นการประเมินของนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำระดับชาติ นักวิเคราะห์ชั้นนำทางเศรษฐกิจและตลาดทุน รวมถึงผู้จัดการกองทุนแถวหน้าด้วย

ก็เงินมันจะร้องเอาผลตอบแทนนี่นา 

ไอ้ที่ไหลกลับไปบ้านเกิด  ไปช่วยอุดบริษัทแม่ หรือกลับไปเพราะตกใจ ไปรับอัตราดอกเบี้ย US Treasury ต่ำๆ น่ะ ในที่สุดมันก็จะต้องกลับมา และจะมาไทยได้มาก หากเราทำตัวเราให้น่าสนใจ เซ็กซี่นิดๆ บึ้งหน่อยๆ ดูดีแบบมีอะไรซ่อนคม

อ๋อ .... แบบ จาง ซิ ยี่  อะเหรอ

เออ ใช่  ฉลาดมาก  จาง ซิ ยี่  น่ะ หน้าตา รูปร่าง ท่าทาง เหมือนเราเปี๊ยบเลยละ

นี่ไง ถึงได้สนับสนุนให้เลิกทะเลาะกันที ไม่ได้รักรัฐบาลนี้จะเป็นจะตายหรอก เพราะโอกาสแบบนี้มีไม่มาก  หากปล่อยผ่านไปแล้วอาจรอเป็นหลายทศวรรษ  อย่าให้เขาไปหาสาวประเทศอื่น เพราะเรามัวแต่ตบตีกัน ให้เขาเข้ามาลงทุนแบบยั่งยืนก่อน แล้วค่อยตบกันต่อก็ไม่สาย 

เพราะหากไม่ตบกัน สีสรรมันไม่มี แล้วมันเฉา ใช่มั้ย !!!

และที่ว่างี้ ไม่ใช่หมายถึงแต่ตลาดหุ้น

หมายถึงทุกอย่างเลย

โดยเฉพาะการเข้ามาลงทุนโดยตรงในธุรกิจ Real Sector ที่จะก่อให้เกิดผลดีต่อคนในประเทศเราทุกชนชั้น ไม่ใช่แค่ทางผ่าน  

เงินมันรออยู่แล้ว  ไม่ว่าจะญี่ปุ่น จีน ตะวันออกกลาง หรือตะวันตกนั่นแหละ ซึ่งความสำเร็จมันขึ้นกับความร่วมมือที่ดีของเอกชนกับรัฐบาล รวมถึงภาคประชาชนที่กลมเกลียว เข้มแข็ง เป็นมิตรด้วย 

แทนที่จะตื่นมาก็คิดว่าเขาจะปฏิวัติกันเมื่อไหร่
แทนที่ตื่นมาแล้วจะคิดว่าจะพา คนที่คุณก็รู้ว่าใครกลับมาได้ยังไง
แทนที่ตื่นมาแล้วจะหาเรื่องกับกองทัพ หรือด่าว่ากันไปมา
แล้วก่อนนอนยังพิมพ์ด่ากันไปมาข้ามค่าย

ไม่ฉลาดแล้วยังพาชาติพัง

สู้ร่วมกันสร้างบ้านเมืองให้เข้มแข็ง เตรียมรับภัยกระทบ และเตรียมรับผลดีที่จะมีตามมา  ทำให้เรามีข้อได้เปรียบกว่าชาติอื่นๆ ในภูมิภาคนี้  และสงบสุขภายใต้องค์พระประมุขที่เราเคารพรักสูงสุดกันดีกว่า

ดังนั้น เมื่ออ่านเรื่องข้างล่างนี้ จงมีสติว่ากำลังพูดเรื่องที่อื่น อย่าไปแตกตื่นคิดว่าเป็นเมืองไทยซะล่ะ

นอกจากนี้ ฐานะธนาคารพาณิชย์ไทยทุกแห่งก็แข็งปึ้ก และบริษัทเอกชนในตลาดก็เข้มแข็งและร่ำรวยปั้กๆ

ก็ขนาดเจ้าของยังดอดเก็บหุ้นตัวเองเป็นระยะเลยเมื่อราคาหุ้นต่ำลงไปเยอะๆ เลย ไม่ใช่เหรอ  สังเกตกันบ้างไหม

อย่ามัวแต่ลงทุนสั้นๆ แล้วต้องมาเด็ดดอกไม้ทีละกลีบ ทีละกลีบ เพื่อเสี่ยงทายว่า รัก ... ไม่รัก ... รัก ... ไม่รัก .....   อยู่เลย

เข้าๆ ออกๆ  แบบรายวัน รายเดือนแบบนี้ น้อยคนจะรวยจริงๆ  

เอาละ เข้าเรื่องกัน

Financial Times ลงข่าวว่า EU กำลังประชุมที่ลักเซมเบิร์กเพื่อหาทางอัดฉีดเงินเพิ่มทุนให้แบงค์ที่กำลังโคม่า โดยเจ้าหน้าที่ EU ให้สัมภาษณ์ว่า …..

เรารู้แล้วว่าทำไมหุ้นแบงค์ตกลงมามากเหลือเกิน นั่นเป็นเพราะเราไม่ได้ทำอะไรมากพอที่จะทำให้ตลาดมั่นใจว่าธนาคารต่างๆ ในยุโรปจะสามารถผ่านวิกฤตินี้ไปได้

อืม ......  อ้วกกกกกกกกกก...... มันควรจะเปลี่ยนคำพูดสักหน่อยให้ตรงไปตรงมายิ่งขึ้น เป็น …..

เราไม่ได้แก้ปัญหาอะไรหรอก เราพลาดที่ไม่ได้ทำอะไรมากพอที่จะทำให้ ผู้ลงทุนในตลาด หลงคิดไปว่าธนาคารต่างๆ ในยุโรปจะสามารถผ่านวิกฤตินี้ไปได้

James Turk ให้สัมภาษณ์ใน King World News วานนี้ว่าธนาคารมีเงินทุนต่ำไป ปล่อยกู้มากไป และยังแบกสินทรัพย์ประเภทอนุพันธ์หลายประเภทไว้ในจำนวนมหึมา

ประเด็นใหญ่สำหรับช่วงใกล้ๆ นี้จึงอยู่ที่ว่า แบงค์ใหญ่ๆ รายไหน จะไปก่อนกัน

ไปไหน  ไปสวรรค์เหรอ

เออ ไปเยี่ยมหลานของคุณทวดเธอมั้ง

James Turk ให้สัมภาษณ์ต่อ มีหลายแบงค์ที่เปราะบางมากและกำลังจะล้มละลายรอบตัวเราไปหมดเลย มันเลยยากที่จะบอกว่าที่ไหนจะไปก่อน และมันน่าจะเกิดโดมิโนไปตามๆ กัน ซึ่งในปี 2008 โดมิโน่ตัวแรกเกิดขึ้น แล้ว FED หรือธนาคารกลางสหรัฐตัดหางปล่อยวัดไปเลยก็คือ Lehman เพื่อหยุดการแพร่เชื้อ แต่มันก็ไม่ช่วย และวันนี้มันลามไปกว้างและลึกกว่าเมื่อปี 2008 แล้ว เพราะหากแบงค์ใหญ่ที่ไหนล้มเป็นที่แรกในวันนี้ โดมิโน่จะเกิดขึ้น แล้วจะเกินกว่าที่รัฐบาลประเทศเดียวหรือธนาคารกลางจะควบคุมการแพร่ขยายได้

สิ่งที่ James Turk ฟันธงมานั้น เมื่อกลับไปอ่านประวัติศาสตร์ช่วงเกิด The Great Depression ซึ่งตรงกับรัชสมัยของรัชกาลที่ 7 ของเรา พบว่า Private Bank แห่งหนึ่งในออสเตรียชื่อ Creditanstalt ล้มละลายในเดือนพฤษภาคม 1931 อันเป็นการช่วยขยายผลของ The Great Depression 

ในช่วงนั้น ออสเตรียพยายามแก้ปัญหาด้วยวิธีต่างๆ และหนึ่งในมาตรการนั้นก็คือ Capital Control ซึ่งก็คือมาตรการควบคุมเงินไหลออกนอกประเทศ ซึ่งทำให้ผู้ฝากเงินของแบงค์ต่างๆ ในเยอรมนีตื่นตระหนกว่าจะทำให้งบดุลของแบงค์เยอรมนีต่างๆ นั้น หดตัวเสียหายไปด้วย เพราะเมื่อผู้ฝากเงินจำนวนเกินครึ่งในธนาคารเยอรมนีทุกแห่งไม่ใช่คนเยอรมันหมดความเชื่อมั่น ความเสียหายอย่างหนักที่สุดในระดับอินเตอร์จึงเกิดขึ้นในหลายประเทศ

เกี่ยวไรว้า ..... ต้นเหตุอยู่ออสเตรีย  แล้วมันเกี่ยวไรกับเยอรมันกับทั่วโลกล่ะ ....

ปัดโธ่ .... เดี๋ยวพั่ด .... ใจร้อนจริง !!!

2 เดือนต่อมา เกิดวิกฤติในระบบธนาคารเยอรมนีอย่างเต็มพิกัด ทางการเยอรมันจึงประกาศใช้มาตรการ Exchange Control ทำให้ธนาคารอเมริกันที่ฝากเงินไว้ในแบงค์ออสเตรีย ฮังการี และ เยอรมนี โดนล็อคไม่ให้ถอนเงินฝากเพื่อนำเงินออกไปนอกประเทศเหล่านั้น

ผลก็คือมันทำให้งบดุลของแบงค์อเมริกันสั่นคลอนและอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ ทำให้คนอเมริกันในประเทศสหรัฐแห่กันไปถอนเงินฝากออกจากแบงค์สหรัฐกันอลหม่าน จนยอดเงินฝากทั้งหมดลดลงไปถึง 15% ในปี 1931 เทียบกับสิ้นปีก่อนหน้า และแค่ 5 เดือน คือ เมษายน สิงหาคม 1931 แบงค์ในสหรัฐก็ตายไป 573 แห่ง 

อลหม่าน?  คำนี้ชอบมาก ฟังน่ารัก เช่น มีคนแย่งกันซื้อกองทุนของเรากันอลหม่าน  แต่ไม่ใช่กลายเป็นว่ามีลูกค้าแห่กันไปถอนกองทุนของเรากันอลหม่าน อันนั้น หยาบคายที่สุด น่าเกลียด รับไม่ได้ 555555+

2 เดือนถัดมา แบงค์อเมริกันก็โดนแห่ถอนจนล้มละลายตายตกไปตามกันอีก 254 แห่ง

สิริรวมแล้ว เหตุเกิดที่ Creditanstalt  ประเทศออสเตรีย แต่ ได้ฌาปนกิจแบงค์สหรัฐไป 827 แห่ง

Hey good job นะนั่น

James Turk  ตบท้ายว่า แล้วหากเกิดแบงค์ใหญ่ๆ ล้มลงเป็นแห่งแรกในช่วงนี้แบบ Creditanstalt  มันจะเกิดโดมิโน่แบบยุค The Great Depression หรือไม่

น่าคิดนะ  เพราะสมัยนี้โลกเปิดกว้าง ธุรกรรมการเงินมันก็พันกันยุ่งกว่าก่อนนี้มหาศาล ทั้งข้อมูลข่าวสารก็ไว้ไว ไม่ใช่ มาม่า   ดาราควงกันเดินเข้าลิฟท์ขนาดประตูไม่ทันปิด ก็มีข่าวออกมาแล้วว่าท้อง

โว้วววววว ..... บ่ทันเฮ็ดอิหยัง สิท้องจะได๋

Dexia  แบงค์สัญชาติฝรั่งเศสและเบลเยียม ซึ่งหลงเชื่อนังเอเธนส์ ไปลงทุน/ปล่อยกู้ซื้อพันธบัตรกรีกจำนวนมาก กำลังโคม่า และรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศก็ตามฟอร์ม กำลังหาทางแก้ไข

Dexia มีมูลค่าตลาด (Market Capitalization = ราคาหุ้นในตลาด คูณด้วยจำนวนหุ้น) เหลือเพียง 2 พันล้านยูโร หลังจากหุ้นตกไป 30% ใน 2 วัน 

รอยเตอร์ รายงานว่า Dexia ปล่อยกู้/ซื้อพันธบัตรรัฐบาลกรีก ไปถึง 3.8 พันล้านยูโร

โอกาสที่ นังเอเธนส์ จะเจ๊ง ไม่มีปัญญาหามาจ่ายคืนหนี้ได้ทันกาลเมื่อวานเท่ากับ 91.7% (คิดตาม CDS --- Credit Default Swap แปลง่ายๆ ว่าค่าประกันความเสี่ยงในการได้เงินกู้คืนจากกรีก ซึ่ง CDS มันแพงขึ้น) 

ตามสูตรมาตรฐานสำเร็จรูปเดิมๆ ในการแก้ไขฐานะแบงค์  รัฐบาลอาจแยกสินทรัพย์ของ Dexia ออกเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ยังดีก็เก็บไว้เป็น Good Bank ส่วนเน่าๆ ก็ให้รัฐอุ้มโดยตั้งแบงค์ใหม่หรือเรียกว่าบริษัทบริหารสินทรัพย์ (เสีย) คือ Bad bank

ของไทยก็ทำแบบนี้

ความจริง Dexia เคยรับความช่วยเหลือมาก่อนแล้ว โดยเป็นแบงค์ที่กู้ยืมธนาคารกลางมากที่สุดในช่วง 2008 เป็นจำนวนถึง 31.5 พันล้านดอลลาร์เมื่อ 24 ตุลาคม 2008

ทำไม FED ถึงกระตือรือร้นที่จะช่วย Dexia เป็นพิเศษ ไม่กลัวพวก 99% ที่
Occypy Wall Street
 กับอีก 20 กว่ารัฐ แล้วรึไง

นี่เป็นเพราะ Dexia ไปการันตีพันธบัตรเทศบาลท้องถิ่นของสหรัฐไว้เป็นจำนวนมากและหลายแห่งน่ะเซ้ ... ตั้งแต่พันธบัตรทหารผ่านศึกรัฐเท็กซัส ไปจนถึงพันธบัตรองค์การขนส่งมวลชนของเทศบาลคาลิฟอร์เนีย เลยละ
  
Dexia การันตียังไงล่ะ

เขียนต่อพรุ่งนี้แล้วกัน  พวงมาลัยยังไม่มาคล้องคอเลย  จะหมดแรงแล้ว

ฯณ็ฯ๖๕๖5##^*#@()_+><@^๕๖๓ธ๊๓ธ๊๗ณ.๘๗๕๖๕๖5##^*#@()_+><@^ศ๔ญ๖ฑ)๖๕๖5##^*#@()_+><@^I “

ไรว้า ..... เขียนให้อ่านสบายๆ ยังมาด่ากันอีก  เอ้า ต่อก็ได้ฟะ

ก็การันตีที่จะเข้าไปรับซื้อพันธบัตรเทศบาลท้องถิ่นต่างๆ นั้น ในกรณีที่ผู้ลงทุนในพันธบัตรเขาต้องการขายน่ะสิ ซึ่งก็เพราะมีการันตีแบบนี้ละ กองทุน Money Market ในอเมริกาเขาถึงไปลงทุนในพันธบัตรเทศบาลท้องถิ่นเหล่านั้นได้ ไม่งั้นผิดกฏ กลต. สหรัฐเขา

555555+ (หัวเราะแบบซาดิสท์เต็มที่) ถ้า Dexia ล้มละลาย มันก็คือหายนะทางการเงินของเทศบาลท้องถิ่นในรัฐต่างๆ และของกองทุน Money Market Fund ของอเมริกาเลยเชียวละ

อะฮ้า .... ใช่แล้ว  Money Market Fund ซึ่งเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุดในทุกประเภทการลงทุนนั่นแหละ

และ Fitch Rating ก็รายงานว่า Money Market Fund ในสหรัฐ มีการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นของธนาคารในยุโรป ถึง 42% ของขนาดทรัพย์สินทั้งหมดของกองทุนทีเดียวเชียว

และ Moody’s Investor Service ก็รายงานด้วยว่า ธนาคารต่างๆ ของยุโรป มีการลงทุนสั้นๆ ในธนาคารฝรั่งเศสที่มีการปล่อยกู้ให้นังเอเธนส์ถึง 55% ของสินทรัพย์ธนาคาร

ตาเหลือกเลยละสิ

EU เขาถึงกำลังเครียด และสหรัฐก็เครียดอีกต่อ

เพราะว่าหากจะต้องเพิ่มเงินช่วยเหลือยุโรปอีกเท่าไรก็ตาม เช่นหากตัวเลขออกมาที่ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ IMF ก็ต้องจ่ายครึ่งหนึ่ง  แล้วจะไปเอามากไหนล่ะ 

ก็ไปเอาจากชาติสมาชิกน่ะสิ  และสหรัฐก็มีข้อผูกพันที่จะใส่เงินใน IMF ด้วย และต้องมากกว่าเพื่อน คือเป็น 17% คูณด้วย (1.3 ล้านล้านดอลลาร์  X 50%) เท่ากับ 110,500 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นต่อหัวประชากรอเมริกันไม่ว่าผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก แก่ กระเทย หัวละ 365 ดอลลาร์สหรัฐ

เพียงแค่ Dexia แห่งเดียวก็ อุนจิเรี่ยราด แล้ว นี่ยังมีอื่นๆ อีกมากที่กำลังตกอยู่ในสภาพเดียวกัน เช่น  Societe Generale กับ BNP Paribas แบงค์ยักษ์ของฝรั่งเศส  ซึ่ง Money Market Fund ของสหรัฐเอาเงินประมาณ 20% ของกองทุนไปลงทุนในตราสารหนี้ของแบงค์ฝรั่งเศสพวกนี้ที่ไปซื้อพันธบัตรกรีซอีกที

ดังนั้น Andrea Enria ประธาน European Banking Authority ถึงบอกว่าหาก Dexia ล้ม มันจะระบาดไปแบงค์อื่นๆ ได้

แก้ง่ายที่ไหนล่ะ แก้ผ้าอาบน้ำยังจะง่ายกว่า เพราะ Dexia เป็นลูกครึ่งฝรั่งเศส กับ เบลเยียม ซึ่งต่างโดนกดดันจากสถาบันจัดอันดับเครดิตทั้งคู่ แถมตอนนี้ก็ไม่ใช่ปี 2008 ที่ตอนนั้นเรายังมีเงินใส่เข้าไปช่วยได้ง่ายกว่าด้วย

Jean-Pierre Lambert นักวิเคราะห์จาก Keefe, Bruyette & Woods บอกว่า กรณีนี้เป็นตัวอย่างของไฟลามทุ่งที่จะเกิดขึ้นได้ และผู้ลงทุนเองก็ไม่รู้เลยว่ารัฐบาลจะสูญเสียเงินเท่าไร ไม่รู้ว่าราคาหุ้นแบงค์ต่างๆ จะลงไปถึงไหนได้อีก สิ่งที่เขาจะทำคือหนีให้พ้นความเสี่ยงอันนี้ด้วยการถอนเงินจาก Money market Fund “

เออ เป็นเรา เราก็ทำ ใช่ไหม เหมือนกับถ้ามีข่าวว่าแบงค์ไทยที่ไหนจะพังพาบ เราก็จะแห่ถอนเงินมันทุกแบงค์นั่นแหละ แต่อย่าลืมว่าแบงค์ไทยมีการลงทุนในอะไรที่เกี่ยวเนื่องกับแบงค์พวกนี้น้อยมากนะ แบงค์ชาติเขายืนยันแล้ว ดังนั้น ไม่ต้องตกใจ

และถึงแม้รัฐจะแก้ไขเรื่อง Dexia ได้ มันก็ไม่ช่วยเท่าไร

อ้าว อีกและ มีแต่เรื่องร้ายๆ

เออ  ก็เพราะ Otto Dichtl จาก Knight Capital เขาเล่าว่ามูลค่าที่ลงบัญชีของ Dexia ในงบการเงินน่ะ มันยังสูงกว่าราคาหุ้นในตลาดของ Dexia ที่กำลังซื้อขายอีกมากด้วยย่ะ คิดต่อกันเองแล้วกันว่า มันจะเกิดอะไรขึ้น

นอกจากนี้ Forbes ยังวิเคราะห์ว่า การช่วย Dexia จะเป็นจุดเริ่มต้นที่เจ็บปวดในการรับรู้ว่ารัฐบาลต่างๆ ไม่สามารถควบคุมเรื่องหนี้ของยุโรปได้อีกแล้ว หนี้สินของ Dexia เท่ากับ 1.5 เท่าของ GDP ของเบลเยียม ส่วนหนี้สินของ BNP Paribas ก็เท่ากับ 97% ของ GDP ประเทศฝรั่งเศส

และธนาคารยักษ์ๆ ของอเมริกาก็ปล่อยกู้และซื้อตราสารหนี้ของแบงค์ในกลุ่มยูโรโซนถึง 2.7 ล้านล้านดอลลาร์

โปรดฟังอีกครั้ง  2.7 ล้านล้านดอลลาร์  5555555555555555555+ 

หากนังเอเธนส์ ใช้หนี้ไม่ทัน ต้อง Default

ผู้ลงทุนทุกประเภท จะวิ่งหนีออกจากการลงทุนในกลุ่มลูกหมูทุกประเทศทันที (ประเทศในกลุ่ม PIIGS) นั่นละเป็นปัญหาใหญ่ของแบงค์ในฝรั่งเศสและเยอรมนี   

เฉพาะแบงค์ยักษ์ๆ พวกนี้ก็มีการขายตราสารหนี้ให้ ธนาคารยักษ์ๆ ของอเมริกา ถึงครึ่งหนึ่งของ 2.7 ล้านล้านดอลลาร์ ที่บอกข้างต้นนั่นละ

ฮ่า   หากแบงค์ยักษ์แห่งใดแห่งหนึ่งของฝรั่งเศสและเยอรมนี ล้มลง ล่ะ  อะไรที่จะเกิดขึ้นกับสหรัฐ จะเข้าขั้นฟองสบู่การเงินแตกตัวแม่ เลย เพราะมันจะยิ่งกว่าฟองสบู่ครั้งไหนๆ ในประวัติศาสตร์ทั้งนั้น

ดังนั้น ไม่ต้องมาบอกว่า มันไม่แย่เท่าครั้ง 2008 หรอก

ก็ได้แต่ขอให้เทพีสันติภาพ เทพีเอเธนนา ช่วยด้วยเถิด  ไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย  แม้เราจะรอดก็ตาม

พอเขียนจบ เห็นข่าวมาแล้วว่ารัฐบาลเบลเยียมจะเข้าซื้อ Dexia ส่วนราคาหุ้นก็ลดไปอีก 10% นอกจากนี้ อังกฤษก็ไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่ประกาศ QE2 แทน

เอาละ ขอตัวไปทำงานอื่นบ้างนะ