วิกฤติอเมริกัน ตอนที่ 17 : แบงค์ Dexia จะเป็นชนวนระเบิดหรือไม่
คุณวรวรรณ ธาราภูมิ
CEO บลจ. บัวหลวง
6 ตุลาคม 2554
((((((( คำเตือน )))))))
ขอฟันธงเรื่องหุ้นไทย และไม่มีทางผิดเลย แอนตาซิลเป็นพยาน
“ ตลาดหุ้นต่อไปนี้จะผันผวนขึ้นๆ ลงๆ ต่อไปอีกนาน 55555+ เคี้ยกๆๆๆๆ“
ตลาดหุ้นไทยมันก็เหมือนตลาดอื่นนั่นแหละ แล้วก็เป็นฝาแฝดกันมาพักใหญ่แล้ว พอข่าวดีแว้บๆ ก็ขึ้นตามกัน พอข่าวร้ายวับๆ ก็ลงตามกัน เหมือนเด็ดดอกไม้ทีละกลีบ แล้วท่องว่า “รัก ... ไม่รัก ... รัก ... ไม่รัก .... “
แต่เปลี่ยนเป็น “ เขียว .... แดง .... เขียว .... แดง ....”
นั่นน่ะสำหรับผู้ลงทุนระยะสั้น ชอบออกกำลัง วิ่งเข้า วิ่งออก แต่กองทุนอย่างพวกเราต้องมองไกลกว่านั้น
เมื่อเงินต้องมีที่ไป และเราลงทุนได้ในกรอบยาวนาน
เมื่อตะวันตกทำตัวเองสมชื่อ คือตก และคงตกอีกนาน (แม้จะมีขึ้นสลับบ้างเป็นพักๆ)
แล้วเงินมันจะไปที่ไหนล่ะ ก็ต้องไปที่ที่มีศักยภาพกว่าน่ะสิ เอเชียไง
แม้จีนจะเกิดฟองสบู่ในอสังหาริมทรัพย์ แต่ความที่เป็นคอมมิวนิสต์ รัฐบาลจึงน่าจะควบคุมได้มากกว่าของ EU ของ US และประเทศประชาธิปไตยทั้งหลาย
จริงอยู่ที่ว่าเราน่าจะยังได้รับผลกระทบอีกในอนาคต อาจมีช็อคใหญ่ๆ เกิดขึ้นเหมือน 2008 จนทำให้หุ้นไทยเดี้ยงสนิท (ซึ่งมีเหตุจากต่างประเทศทั้งนั้น ไม่ได้เกี่ยวโดยตรงกับเรา) แต่หลังจากนั้นพอเกิดการปรับตัวไปแล้ว อะไรเกิดขึ้นจำได้ไหม)
มันขึ้นพรวดๆ ทุกประเภทสินทรัพย์น่ะสิ
นี่ไง ถึงได้บอกว่า เวลาตลาดตก มันแป็นข่าวร้ายของผู้ขาย และเป็นข่าวดีของผู้ซื้อ แต่นั่นต้องอยู่ที่ว่าปัจจัยพื้นฐานของประเทศหรือของหุ้นตัวนั้นดีอยู่แล้ว และต้องมีเงินสดด้วยนะ
ไอ้ที่ซื้อตามเซียนเถื่อนที่ไหนโดยไม่ยอมทำการบ้านเองน่ะ สุดท้ายแล้วไปขับแท็กซี่กันก็มาก ถ้ายังเหลือเงินไปเช่าแท็กซี่
เหตุการณ์ที่ว่านี้น่าจะเกิดขึ้นได้ในปีหน้า แต่ไม่ได้รับประกันหรือฟันธง นี่เป็นการประเมินของนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำระดับชาติ นักวิเคราะห์ชั้นนำทางเศรษฐกิจและตลาดทุน รวมถึงผู้จัดการกองทุนแถวหน้าด้วย
ก็เงินมันจะร้องเอาผลตอบแทนนี่นา
ไอ้ที่ไหลกลับไปบ้านเกิด ไปช่วยอุดบริษัทแม่ หรือกลับไปเพราะตกใจ ไปรับอัตราดอกเบี้ย US Treasury ต่ำๆ น่ะ ในที่สุดมันก็จะต้องกลับมา และจะมาไทยได้มาก หากเราทำตัวเราให้น่าสนใจ เซ็กซี่นิดๆ บึ้งหน่อยๆ ดูดีแบบมีอะไรซ่อนคม
อ๋อ .... แบบ จาง ซิ ยี่ อะเหรอ
เออ ใช่ ฉลาดมาก จาง ซิ ยี่ น่ะ หน้าตา รูปร่าง ท่าทาง เหมือนเราเปี๊ยบเลยละ
นี่ไง ถึงได้สนับสนุนให้เลิกทะเลาะกันที ไม่ได้รักรัฐบาลนี้จะเป็นจะตายหรอก เพราะโอกาสแบบนี้มีไม่มาก หากปล่อยผ่านไปแล้วอาจรอเป็นหลายทศวรรษ อย่าให้เขาไปหาสาวประเทศอื่น เพราะเรามัวแต่ตบตีกัน ให้เขาเข้ามาลงทุนแบบยั่งยืนก่อน แล้วค่อยตบกันต่อก็ไม่สาย
เพราะหากไม่ตบกัน สีสรรมันไม่มี แล้วมันเฉา ใช่มั้ย !!!
และที่ว่างี้ ไม่ใช่หมายถึงแต่ตลาดหุ้น
หมายถึงทุกอย่างเลย
โดยเฉพาะการเข้ามาลงทุนโดยตรงในธุรกิจ Real Sector ที่จะก่อให้เกิดผลดีต่อคนในประเทศเราทุกชนชั้น ไม่ใช่แค่ทางผ่าน
เงินมันรออยู่แล้ว ไม่ว่าจะญี่ปุ่น จีน ตะวันออกกลาง หรือตะวันตกนั่นแหละ ซึ่งความสำเร็จมันขึ้นกับความร่วมมือที่ดีของเอกชนกับรัฐบาล รวมถึงภาคประชาชนที่กลมเกลียว เข้มแข็ง เป็นมิตรด้วย
แทนที่จะตื่นมาก็คิดว่าเขาจะปฏิวัติกันเมื่อไหร่
แทนที่ตื่นมาแล้วจะคิดว่าจะพา “คนที่คุณก็รู้ว่าใคร” กลับมาได้ยังไง
แทนที่ตื่นมาแล้วจะหาเรื่องกับกองทัพ หรือด่าว่ากันไปมา
แล้วก่อนนอนยังพิมพ์ด่ากันไปมาข้ามค่าย
ไม่ฉลาดแล้วยังพาชาติพัง
สู้ร่วมกันสร้างบ้านเมืองให้เข้มแข็ง เตรียมรับภัยกระทบ และเตรียมรับผลดีที่จะมีตามมา ทำให้เรามีข้อได้เปรียบกว่าชาติอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ และสงบสุขภายใต้องค์พระประมุขที่เราเคารพรักสูงสุดกันดีกว่า
ดังนั้น เมื่ออ่านเรื่องข้างล่างนี้ จงมีสติว่ากำลังพูดเรื่องที่อื่น อย่าไปแตกตื่นคิดว่าเป็นเมืองไทยซะล่ะ
นอกจากนี้ ฐานะธนาคารพาณิชย์ไทยทุกแห่งก็แข็งปึ้ก และบริษัทเอกชนในตลาดก็เข้มแข็งและร่ำรวยปั้กๆ
ก็ขนาดเจ้าของยังดอดเก็บหุ้นตัวเองเป็นระยะเลยเมื่อราคาหุ้นต่ำลงไปเยอะๆ เลย ไม่ใช่เหรอ สังเกตกันบ้างไหม
อย่ามัวแต่ลงทุนสั้นๆ แล้วต้องมาเด็ดดอกไม้ทีละกลีบ ทีละกลีบ เพื่อเสี่ยงทายว่า “รัก ... ไม่รัก ... รัก ... ไม่รัก .....” อยู่เลย
เข้าๆ ออกๆ แบบรายวัน รายเดือนแบบนี้ น้อยคนจะรวยจริงๆ
เอาละ เข้าเรื่องกัน
Financial Times ลงข่าวว่า EU กำลังประชุมที่ลักเซมเบิร์กเพื่อหาทางอัดฉีดเงินเพิ่มทุนให้แบงค์ที่กำลังโคม่า โดยเจ้าหน้าที่ EU ให้สัมภาษณ์ว่า …..
“เรารู้แล้วว่าทำไมหุ้นแบงค์ตกลงมามากเหลือเกิน นั่นเป็นเพราะเราไม่ได้ทำอะไรมากพอที่จะทำให้ตลาดมั่นใจว่าธนาคารต่างๆ ในยุโรปจะสามารถผ่านวิกฤตินี้ไปได้”
อืม ...... อ้วกกกกกกกกกก...... มันควรจะเปลี่ยนคำพูดสักหน่อยให้ตรงไปตรงมายิ่งขึ้น เป็น …..
“เราไม่ได้แก้ปัญหาอะไรหรอก เราพลาดที่ไม่ได้ทำอะไรมากพอที่จะทำให้ ผู้ลงทุนในตลาด หลงคิดไปว่าธนาคารต่างๆ ในยุโรปจะสามารถผ่านวิกฤตินี้ไปได้”
James Turk ให้สัมภาษณ์ใน King World News วานนี้ว่าธนาคารมีเงินทุนต่ำไป ปล่อยกู้มากไป และยังแบกสินทรัพย์ประเภทอนุพันธ์หลายประเภทไว้ในจำนวนมหึมา
ประเด็นใหญ่สำหรับช่วงใกล้ๆ นี้จึงอยู่ที่ว่า แบงค์ใหญ่ๆ รายไหน จะไปก่อนกัน
ไปไหน ไปสวรรค์เหรอ
เออ ไปเยี่ยมหลานของคุณทวดเธอมั้ง
James Turk ให้สัมภาษณ์ต่อ “มีหลายแบงค์ที่เปราะบางมากและกำลังจะล้มละลายรอบตัวเราไปหมดเลย มันเลยยากที่จะบอกว่าที่ไหนจะไปก่อน และมันน่าจะเกิดโดมิโนไปตามๆ กัน ซึ่งในปี 2008 โดมิโน่ตัวแรกเกิดขึ้น แล้ว FED หรือธนาคารกลางสหรัฐตัดหางปล่อยวัดไปเลยก็คือ Lehman เพื่อหยุดการแพร่เชื้อ แต่มันก็ไม่ช่วย และวันนี้มันลามไปกว้างและลึกกว่าเมื่อปี 2008 แล้ว เพราะหากแบงค์ใหญ่ที่ไหนล้มเป็นที่แรกในวันนี้ โดมิโน่จะเกิดขึ้น แล้วจะเกินกว่าที่รัฐบาลประเทศเดียวหรือธนาคารกลางจะควบคุมการแพร่ขยายได้”
สิ่งที่ James Turk ฟันธงมานั้น เมื่อกลับไปอ่านประวัติศาสตร์ช่วงเกิด The Great Depression ซึ่งตรงกับรัชสมัยของรัชกาลที่ 7 ของเรา พบว่า Private Bank แห่งหนึ่งในออสเตรียชื่อ Creditanstalt ล้มละลายในเดือนพฤษภาคม 1931 อันเป็นการช่วยขยายผลของ The Great Depression
ในช่วงนั้น ออสเตรียพยายามแก้ปัญหาด้วยวิธีต่างๆ และหนึ่งในมาตรการนั้นก็คือ Capital Control ซึ่งก็คือมาตรการควบคุมเงินไหลออกนอกประเทศ ซึ่งทำให้ผู้ฝากเงินของแบงค์ต่างๆ ในเยอรมนีตื่นตระหนกว่าจะทำให้งบดุลของแบงค์เยอรมนีต่างๆ นั้น หดตัวเสียหายไปด้วย เพราะเมื่อผู้ฝากเงินจำนวนเกินครึ่งในธนาคารเยอรมนีทุกแห่งไม่ใช่คนเยอรมันหมดความเชื่อมั่น ความเสียหายอย่างหนักที่สุดในระดับอินเตอร์จึงเกิดขึ้นในหลายประเทศ
เกี่ยวไรว้า ..... ต้นเหตุอยู่ออสเตรีย แล้วมันเกี่ยวไรกับเยอรมันกับทั่วโลกล่ะ ....
ปัดโธ่ .... เดี๋ยวพั่ด .... ใจร้อนจริง !!!
2 เดือนต่อมา เกิดวิกฤติในระบบธนาคารเยอรมนีอย่างเต็มพิกัด ทางการเยอรมันจึงประกาศใช้มาตรการ Exchange Control ทำให้ธนาคารอเมริกันที่ฝากเงินไว้ในแบงค์ออสเตรีย ฮังการี และ เยอรมนี โดนล็อคไม่ให้ถอนเงินฝากเพื่อนำเงินออกไปนอกประเทศเหล่านั้น
ผลก็คือมันทำให้งบดุลของแบงค์อเมริกันสั่นคลอนและอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ ทำให้คนอเมริกันในประเทศสหรัฐแห่กันไปถอนเงินฝากออกจากแบงค์สหรัฐกันอลหม่าน จนยอดเงินฝากทั้งหมดลดลงไปถึง 15% ในปี 1931 เทียบกับสิ้นปีก่อนหน้า และแค่ 5 เดือน คือ เมษายน – สิงหาคม 1931 แบงค์ในสหรัฐก็ตายไป 573 แห่ง
อลหม่าน? คำนี้ชอบมาก ฟังน่ารัก เช่น มีคนแย่งกันซื้อกองทุนของเรากันอลหม่าน แต่ไม่ใช่กลายเป็นว่ามีลูกค้าแห่กันไปถอนกองทุนของเรากันอลหม่าน อันนั้น หยาบคายที่สุด น่าเกลียด รับไม่ได้ 555555+
2 เดือนถัดมา แบงค์อเมริกันก็โดนแห่ถอนจนล้มละลายตายตกไปตามกันอีก 254 แห่ง
สิริรวมแล้ว เหตุเกิดที่ Creditanstalt ประเทศออสเตรีย แต่ ได้ฌาปนกิจแบงค์สหรัฐไป 827 แห่ง
Hey good job นะนั่น
James Turk ตบท้ายว่า “แล้วหากเกิดแบงค์ใหญ่ๆ ล้มลงเป็นแห่งแรกในช่วงนี้แบบ Creditanstalt มันจะเกิดโดมิโน่แบบยุค The Great Depression หรือไม่”
น่าคิดนะ เพราะสมัยนี้โลกเปิดกว้าง ธุรกรรมการเงินมันก็พันกันยุ่งกว่าก่อนนี้มหาศาล ทั้งข้อมูลข่าวสารก็ไว้ไว ไม่ใช่ มาม่า ดาราควงกันเดินเข้าลิฟท์ขนาดประตูไม่ทันปิด ก็มีข่าวออกมาแล้วว่าท้อง
โว้วววววว ..... บ่ทันเฮ็ดอิหยัง สิท้องจะได๋
Dexia แบงค์สัญชาติฝรั่งเศสและเบลเยียม ซึ่งหลงเชื่อนังเอเธนส์ ไปลงทุน/ปล่อยกู้ซื้อพันธบัตรกรีกจำนวนมาก กำลังโคม่า และรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศก็ตามฟอร์ม กำลังหาทางแก้ไข
Dexia มีมูลค่าตลาด (Market Capitalization = ราคาหุ้นในตลาด คูณด้วยจำนวนหุ้น) เหลือเพียง 2 พันล้านยูโร หลังจากหุ้นตกไป 30% ใน 2 วัน
รอยเตอร์ รายงานว่า Dexia ปล่อยกู้/ซื้อพันธบัตรรัฐบาลกรีก ไปถึง 3.8 พันล้านยูโร
โอกาสที่ นังเอเธนส์ จะเจ๊ง ไม่มีปัญญาหามาจ่ายคืนหนี้ได้ทันกาลเมื่อวานเท่ากับ 91.7% (คิดตาม CDS --- Credit Default Swap แปลง่ายๆ ว่าค่าประกันความเสี่ยงในการได้เงินกู้คืนจากกรีก ซึ่ง CDS มันแพงขึ้น)
ตามสูตรมาตรฐานสำเร็จรูปเดิมๆ ในการแก้ไขฐานะแบงค์ รัฐบาลอาจแยกสินทรัพย์ของ Dexia ออกเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ยังดีก็เก็บไว้เป็น Good Bank ส่วนเน่าๆ ก็ให้รัฐอุ้มโดยตั้งแบงค์ใหม่หรือเรียกว่าบริษัทบริหารสินทรัพย์ (เสีย) คือ Bad bank
ของไทยก็ทำแบบนี้
ความจริง Dexia เคยรับความช่วยเหลือมาก่อนแล้ว โดยเป็นแบงค์ที่กู้ยืมธนาคารกลางมากที่สุดในช่วง 2008 เป็นจำนวนถึง 31.5 พันล้านดอลลาร์เมื่อ 24 ตุลาคม 2008
ทำไม FED ถึงกระตือรือร้นที่จะช่วย Dexia เป็นพิเศษ ไม่กลัวพวก 99% ที่ Occypy Wall Street กับอีก 20 กว่ารัฐ แล้วรึไง
นี่เป็นเพราะ Dexia ไปการันตีพันธบัตรเทศบาลท้องถิ่นของสหรัฐไว้เป็นจำนวนมากและหลายแห่งน่ะเซ้ ... ตั้งแต่พันธบัตรทหารผ่านศึกรัฐเท็กซัส ไปจนถึงพันธบัตรองค์การขนส่งมวลชนของเทศบาลคาลิฟอร์เนีย เลยละ
Dexia การันตียังไงล่ะ
เขียนต่อพรุ่งนี้แล้วกัน พวงมาลัยยังไม่มาคล้องคอเลย จะหมดแรงแล้ว
“ฯณ็ฯ๖๕๖5##^*#@()_+><@^๕๖๓ธ๊๓ธ๊๗ณ.๘๗๕๖๕๖5##^*#@()_+><@^ศ๔ญ๖ฑ)๖๕๖5##^*#@()_+><@^I “
ไรว้า ..... เขียนให้อ่านสบายๆ ยังมาด่ากันอีก เอ้า ต่อก็ได้ฟะ
ก็การันตีที่จะเข้าไปรับซื้อพันธบัตรเทศบาลท้องถิ่นต่างๆ นั้น ในกรณีที่ผู้ลงทุนในพันธบัตรเขาต้องการขายน่ะสิ ซึ่งก็เพราะมีการันตีแบบนี้ละ กองทุน Money Market ในอเมริกาเขาถึงไปลงทุนในพันธบัตรเทศบาลท้องถิ่นเหล่านั้นได้ ไม่งั้นผิดกฏ กลต. สหรัฐเขา
555555+ (หัวเราะแบบซาดิสท์เต็มที่) ถ้า Dexia ล้มละลาย มันก็คือหายนะทางการเงินของเทศบาลท้องถิ่นในรัฐต่างๆ และของกองทุน Money Market Fund ของอเมริกาเลยเชียวละ
อะฮ้า .... ใช่แล้ว Money Market Fund ซึ่งเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุดในทุกประเภทการลงทุนนั่นแหละ
และ Fitch Rating ก็รายงานว่า Money Market Fund ในสหรัฐ มีการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นของธนาคารในยุโรป ถึง 42% ของขนาดทรัพย์สินทั้งหมดของกองทุนทีเดียวเชียว
และ Moody’s Investor Service ก็รายงานด้วยว่า ธนาคารต่างๆ ของยุโรป มีการลงทุนสั้นๆ ในธนาคารฝรั่งเศสที่มีการปล่อยกู้ให้นังเอเธนส์ถึง 55% ของสินทรัพย์ธนาคาร
ตาเหลือกเลยละสิ
EU เขาถึงกำลังเครียด และสหรัฐก็เครียดอีกต่อ
เพราะว่าหากจะต้องเพิ่มเงินช่วยเหลือยุโรปอีกเท่าไรก็ตาม เช่นหากตัวเลขออกมาที่ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ IMF ก็ต้องจ่ายครึ่งหนึ่ง แล้วจะไปเอามากไหนล่ะ
ก็ไปเอาจากชาติสมาชิกน่ะสิ และสหรัฐก็มีข้อผูกพันที่จะใส่เงินใน IMF ด้วย และต้องมากกว่าเพื่อน คือเป็น 17% คูณด้วย (1.3 ล้านล้านดอลลาร์ X 50%) เท่ากับ 110,500 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นต่อหัวประชากรอเมริกันไม่ว่าผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก แก่ กระเทย หัวละ 365 ดอลลาร์สหรัฐ
เพียงแค่ Dexia แห่งเดียวก็ อุนจิเรี่ยราด แล้ว นี่ยังมีอื่นๆ อีกมากที่กำลังตกอยู่ในสภาพเดียวกัน เช่น Societe Generale กับ BNP Paribas แบงค์ยักษ์ของฝรั่งเศส ซึ่ง Money Market Fund ของสหรัฐเอาเงินประมาณ 20% ของกองทุนไปลงทุนในตราสารหนี้ของแบงค์ฝรั่งเศสพวกนี้ที่ไปซื้อพันธบัตรกรีซอีกที
ดังนั้น Andrea Enria ประธาน European Banking Authority ถึงบอกว่าหาก Dexia ล้ม มันจะระบาดไปแบงค์อื่นๆ ได้
แก้ง่ายที่ไหนล่ะ แก้ผ้าอาบน้ำยังจะง่ายกว่า เพราะ Dexia เป็นลูกครึ่งฝรั่งเศส กับ เบลเยียม ซึ่งต่างโดนกดดันจากสถาบันจัดอันดับเครดิตทั้งคู่ แถมตอนนี้ก็ไม่ใช่ปี 2008 ที่ตอนนั้นเรายังมีเงินใส่เข้าไปช่วยได้ง่ายกว่าด้วย
Jean-Pierre Lambert นักวิเคราะห์จาก Keefe, Bruyette & Woods บอกว่า “กรณีนี้เป็นตัวอย่างของไฟลามทุ่งที่จะเกิดขึ้นได้ และผู้ลงทุนเองก็ไม่รู้เลยว่ารัฐบาลจะสูญเสียเงินเท่าไร ไม่รู้ว่าราคาหุ้นแบงค์ต่างๆ จะลงไปถึงไหนได้อีก สิ่งที่เขาจะทำคือหนีให้พ้นความเสี่ยงอันนี้ด้วยการถอนเงินจาก Money market Fund “
เออ เป็นเรา เราก็ทำ ใช่ไหม เหมือนกับถ้ามีข่าวว่าแบงค์ไทยที่ไหนจะพังพาบ เราก็จะแห่ถอนเงินมันทุกแบงค์นั่นแหละ แต่อย่าลืมว่าแบงค์ไทยมีการลงทุนในอะไรที่เกี่ยวเนื่องกับแบงค์พวกนี้น้อยมากนะ แบงค์ชาติเขายืนยันแล้ว ดังนั้น ไม่ต้องตกใจ
และถึงแม้รัฐจะแก้ไขเรื่อง Dexia ได้ มันก็ไม่ช่วยเท่าไร
อ้าว อีกและ มีแต่เรื่องร้ายๆ
เออ ก็เพราะ Otto Dichtl จาก Knight Capital เขาเล่าว่ามูลค่าที่ลงบัญชีของ Dexia ในงบการเงินน่ะ มันยังสูงกว่าราคาหุ้นในตลาดของ Dexia ที่กำลังซื้อขายอีกมากด้วยย่ะ คิดต่อกันเองแล้วกันว่า มันจะเกิดอะไรขึ้น
นอกจากนี้ Forbes ยังวิเคราะห์ว่า “การช่วย Dexia จะเป็นจุดเริ่มต้นที่เจ็บปวดในการรับรู้ว่ารัฐบาลต่างๆ ไม่สามารถควบคุมเรื่องหนี้ของยุโรปได้อีกแล้ว หนี้สินของ Dexia เท่ากับ 1.5 เท่าของ GDP ของเบลเยียม ส่วนหนี้สินของ BNP Paribas ก็เท่ากับ 97% ของ GDP ประเทศฝรั่งเศส
และธนาคารยักษ์ๆ ของอเมริกาก็ปล่อยกู้และซื้อตราสารหนี้ของแบงค์ในกลุ่มยูโรโซนถึง 2.7 ล้านล้านดอลลาร์
โปรดฟังอีกครั้ง 2.7 ล้านล้านดอลลาร์ “ 5555555555555555555+ “
หากนังเอเธนส์ ใช้หนี้ไม่ทัน ต้อง Default
ผู้ลงทุนทุกประเภท จะวิ่งหนีออกจากการลงทุนในกลุ่มลูกหมูทุกประเทศทันที (ประเทศในกลุ่ม PIIGS) นั่นละเป็นปัญหาใหญ่ของแบงค์ในฝรั่งเศสและเยอรมนี
เฉพาะแบงค์ยักษ์ๆ พวกนี้ก็มีการขายตราสารหนี้ให้ ธนาคารยักษ์ๆ ของอเมริกา ถึงครึ่งหนึ่งของ 2.7 ล้านล้านดอลลาร์ ที่บอกข้างต้นนั่นละ
ฮ่า หากแบงค์ยักษ์แห่งใดแห่งหนึ่งของฝรั่งเศสและเยอรมนี ล้มลง ล่ะ อะไรที่จะเกิดขึ้นกับสหรัฐ จะเข้าขั้นฟองสบู่การเงินแตกตัวแม่ เลย เพราะมันจะยิ่งกว่าฟองสบู่ครั้งไหนๆ ในประวัติศาสตร์ทั้งนั้น
ดังนั้น ไม่ต้องมาบอกว่า มันไม่แย่เท่าครั้ง 2008 หรอก
ก็ได้แต่ขอให้เทพีสันติภาพ เทพีเอเธนนา ช่วยด้วยเถิด ไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย แม้เราจะรอดก็ตาม
พอเขียนจบ เห็นข่าวมาแล้วว่ารัฐบาลเบลเยียมจะเข้าซื้อ Dexia ส่วนราคาหุ้นก็ลดไปอีก 10% นอกจากนี้ อังกฤษก็ไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่ประกาศ QE2 แทน
เอาละ ขอตัวไปทำงานอื่นบ้างนะ