29 เมษายน 2555
ตลาดเกิดใหม่ทำไมถึงเนื้อหอม Fundamentals นำเสนอกันอีกรอบผ่านสายตากูรูระดับโลกอย่างมาร์ค โมเบียส
ปีนี้วิกฤติหนี้รัฐยุโรปดูจะจบยาก สหรัฐมีแนวโน้มฟื้นตัวได้อย่างเชื่องช้า ยิ่งทำให้ตลาดเกิดใหม่ทั่วโลกรวมไทย ยังคงเป็นเป้าหมายสำคัญของนักลงทุน
ต้นเดือน เม.ย. ปีนี้ "มาร์ค โมเบียส" กูรูผู้รู้จริงพัฒนาการตลาดเกิดใหม่ เดินทางมาเยือนไทยตามคำเชิญของ บลจ.กรุงศรี เพื่อถ่ายทอดความรู้ให้ข้อมูลแบบรอบด้านสำหรับข้อสงสัยที่ว่าหุ้นตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะละติน อเมริกา เหตุใดจึงมีเสน่ห์ดึงดูดเงินทุนจากทุกมุมโลกไหลเข้าต่อเนื่อง
Fundamentals ได้มีโอกาสรับฟังสุดยอดกูรูผู้นี้จึงขอเก็บตกรายละเอียดทุกมุมมองเกี่ยวกับพัฒนาการกับอนาคตสดใสของตลาดเกิดใหม่ มานำเสนอนักลงทุนไทยทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเป็นเหมือนคู่มือช่วยหาจังหวะช่องทางทำรีเทิร์นดีจากตลาดเหล่านี้ในระยะยาว
ย้อนดูรีเทิร์นโดดเด่น
ด้วยประสบการณ์การศึกษาพัฒนาการตลาดเกิดใหม่ทั่วโลกอย่างถ่องแท้มานานหลายสิบปี จนผู้คนยกให้ มาร์ค โมเบียส ประธานบริหารเทมเพิลตัน อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ตส์ เป็นสุดยอดกูรูตลาดเกิดใหม่ และการมาเยือนไทยครั้งล่าสุดนี้เขามีข้อมูลสถิติตัวเลขเศรษฐกิจมากมายเกี่ยวกับตลาดเกิดใหม่ทั่วโลกมาฝาก
โมเบียส หยิบยกพัฒนาการเฉพาะตลาดหุ้นเกิดใหม่เปรียบเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐและตลาดหุ้นทั่วโลก ทั้งในระยะ 5 ปี และตลอดทศวรรษที่ผ่านมา พิจารณาจากกราฟดัชนี MSCI ของ มอร์แกน สแตนเลย์ พบว่าดัชนี MSCIตลาดหุ้นเกิดใหม่ ไม่ว่าอยู่ในช่วงเกิดวิกฤติการเงินโลกปี 2551-2552 และวิกฤติหนี้รัฐในยุโรปตั้งแต่ต้นปี 2554 และยืดเยื้อถึงต้นปีนี้ หรือในช่วงเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวดีขึ้นช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สะท้อนว่าผลประกอบการตลาดหุ้นเกิดใหม่ยังสามารถปรับขึ้น ทำได้ดี และเหนือกว่า MSCI ตลาดหุ้นสหรัฐ กับ MSCI ทั่วโลก ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา
นอกจากเปรียบเทียบดูภาพรวมระหว่างดัชนี MSCI ตลาดเกิดใหม่ กับ MSCI ตลาดสหรัฐ และ MSCI ตลาดทั่วโลก แล้ว โมเบียส ยังให้ภาพลึกลงไปด้วยการเปรียบเทียบเฉพาะดัชนี MSCI ตลาดหุ้นละตินอเมริกา กับ MSCI ตลาดเกิดใหม่อื่น โดยรวม ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ผลที่ออกมาคือในระยะเวลาดังกล่าวส่วนใหญ่ละตินอเมริกาให้ผลประกอบการดีเหนือกว่าตลาดเกิดใหม่อื่น และหากเป็นระยะเวลาสั้นลงเป็น 5 ปีที่ผ่านมา แยกเป็นดัชนี MSCI ของ 3 ตลาดเกิดใหม่เหมือนกัน คือละตินอมเริกา เอเชีย และ ยุโรปตะวันออก ปรากฏผลไม่ต่างกันมากนักเพราะว่าช่วง 5 ปีที่ผ่านมาตลาดละตินอเมริกาก็ยังให้ผลประกอบการเด่นสุด ทำรีเทิร์นได้ดีและเหนือกว่าตลาดเกิดใหม่อื่นอย่างเอเชียและยุโรปตะวันออก
โมเบียส ยอมรับทุกที่ทุกตลาดย่อมมีความเสี่ยง แต่หากพูดถึงความเสี่ยงสำหรับตลาดเกิดใหม่นั้น โมเบียสเชื่อว่าความเสี่ยงมีน้อยกว่าตลาดพัฒนาแล้วมาก พิจารณาจากมูลค่าหนี้สาธารณะต่อจีดีพี (Goverment Debt Per Capital) ในปี 2553 พบว่ากลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอย่างญี่ปุ่น อิตาลี แคนาดา ฝรั่งเศสเยอรมนี สหรัฐ อังกฤษ และ สเปน ยังมากกว่าบราซิล เม็กซิโก และ จีน อยู่มาก
ละตินอเมริการีเทิร์นดีสุด
นอกจากเปรียบเทียบดูภาพรวมระหว่างดัชนี MSCI ตลาดเกิดใหม่ กับ MSCI ตลาดสหรัฐ และ MSCI ตลาดทั่วโลก แล้ว โมเบียส ยังให้ภาพลึกลงไปด้วยการเปรียบเทียบเฉพาะดัชนี MSCI ตลาดหุ้นละตินอเมริกา กับ MSCI ตลาดเกิดใหม่อื่น โดยรวม ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ผลที่ออกมาคือในระยะเวลาดังกล่าวส่วนใหญ่ละตินอเมริกาให้ผลประกอบการดีเหนือกว่าตลาดเกิดใหม่อื่น และหากเป็นระยะเวลาสั้นลงเป็น 5 ปีที่ผ่านมา แยกเป็นดัชนี MSCI ของ 3 ตลาดเกิดใหม่เหมือนกัน คือละตินอมเริกา เอเชีย และ ยุโรปตะวันออก ปรากฏผลไม่ต่างกันมากนักเพราะว่าช่วง 5 ปีที่ผ่านมาตลาดละตินอเมริกาก็ยังให้ผลประกอบการเด่นสุด ทำรีเทิร์นได้ดีและเหนือกว่าตลาดเกิดใหม่อื่นอย่างเอเชียและยุโรปตะวันออก
ตลาดแนวหน้า น่าลงทุน
ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่กว่า 40 ประเทศนั้น โมเบียส ยังให้คำนิยามกับกลุ่มประเทศหนึ่งที่อยู่ในตลาดเกิดใหม่นี้ว่าเป็นตลาดแนวหน้า (frontier markets) ทั้งที่อยู่ในทวีปแอฟริกา ตะวันออกกลาง ยุโรปตะวันออกและเอเชียหลายแห่งโดดเด่นดึงดูดใจให้ลงทุนมากที่สุด ไม่แพ้ตลาดเกิดใหม่ที่มีขนาดใหญ่อย่างจีน อินเดียหรืออินโดนีเซีย และตลาดแนวหน้าข้างต้น ประกอบด้วย ไนจีเรีย เวียดนาม คาซัคสถาน ยูเครน เคนยา กานา ซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ อียิปต์และโรมาเนีย
ทั้งนี้ เดนนิส ลิม ผู้จัดการกองทุน เทมเพิลตัน แอสเซต แมเจนเมนท์ ซึ่งเดินทางมาไทยร่วมกับโมเบียส และเป็นผู้เชี่ยวชาญตลาดย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ได้แนะนำนักลงทุนจับตาการเติบโตกับอนาคตอันสดใสของ พม่าและกัมพูชา ซึ่งถือเป็นสองตลาดแนวหน้าของอาเซียน
ลิม ให้เหตุผลว่า พม่าอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรทางธรรมชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งแก๊สธรรมชาติ นอกเหนือจากน้ำมันและแร่ธรรมชาติ ส่วนกัมพูชาเป็นแหล่งลงทุนที่ดีจะได้ประโยชน์จากการค้าขายกับเพื่อนบ้านอย่างไทย เวียดนามและลาว แต่การเข้าไปกัมพูชาต้องศึกษามาตรฐานบรรษัทภิบาลของประเทศนี้ให้ดีก่อน
ส่วน โมเบียส มองพม่าเป็นหนึ่งในตลาดแนวหน้าเช่นกัน และอีก 2-3 ปีเขาอาจเข้าไปลงทุนในพม่า และสนใจลงทุน 3 ภาคธุรกิจ คือ พลังงาน การผลิตระดับท้องถิ่น และ การบริโภค เพราะพม่าอยู่ติดกับจีนและอินเดีย มีทรัพยากรอยู่มาก ซึ่งเป็นปัจจัยช่วยพม่าไปได้ดีกว่าเพื่อนบ้าน แต่พม่าต้องพัฒนาตลาดเงินกับค่าเงิน และพัฒนาระบบธนาคารกับสาธารณูปโภคให้ดีก่อน
ดึงทุนไหลเข้าได้อีกมาก
โมเบียส เชื่อว่า ตลาดหุ้นในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ ยังมีช่องว่างให้เติบโตหรือเข้าไปลงทุนได้อีกมาก ขณะที่ความต้องการเข้าไปลงทุนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เขาหยิบยกกราฟสถิติมูลค่าตามราคาตลาดรวม หรือ มาร์เก็ตแคปของตลาดหุ้นเกิดใหม่โดยรวม เทียบกับตลาดหุ้นละตินอเมริกา ช่วงปี 2536-2554 ปรากฏว่า มาร์เก็ตแคปตลาดหุ้นเกิดใหม่โดยรวมปีก่อนเท่ากับ 34% จากเดิมเมื่อ 15 ปีที่แล้ว มีเพียง 5% ของมาร์เก็ตแคปตลาดหุ้นทั่วโลก ส่วนมาร์เก็ตแคปเฉพาะหุ้นตลาดละตินอเมริกาเกือบ 20 ปีที่ผ่านมาถึงขณะนี้ยังขยายตัวน้อยเฉลี่ยเพียง 5% ของทั่วโลก ขณะที่สถิติเข้าไปลงทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ของกองทุนบำเหน็จบำนาญทั่วโลกช่วงเดียวกัน มีเพียง 3-8% ของมาร์เก็ตแคปตลาดหุ้นทั่วโลก สะท้อนได้ว่านักลงทุนสถาบันยังเข้าไปตลาดกลุ่มนี้ไม่มาก และโมเบียสตั้งข้อสังเกตว่า พอร์ตการลงทุนไหลเข้ามาลงทุนในหุ้นตลาดเกิดใหม่ทั่วโลก ตั้งแต่เดือน ม.ค. ปี 2538-2554 มีแต่จะเพิ่มขึ้น และล่าสุดเติบโตถึง 2,823% หรือจากราว 1 พันล้านดอลลาร์ เป็นกว่า 8 แสนล้านดอลลาร์ ในปีที่ผ่านมา
ในช่วงเวลาเดียวกันข้างต้น กองทุนตลาดเกิดใหม่ของเทมเพิลตัน ซึ่งจัดตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 2528 นั้น เริ่มต้นจากการมีสินทรัพย์บริหารงานเพียง 100 ล้านดอลลาร์ ตอนนี้โตขึ้นมากกว่า 500 เท่า มีมูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์ สะท้อนถึงช่วงที่ผ่านมาดีมานด์ความต้องการลงทุนในตลาดเกิดใหม่มีมาก และในอนาคตความต้องการลงทุนยังขยายตัวได้อีกมาก
โครงสร้างพื้นฐานแกร่ง
โมเบียส ให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานของตลาดเกิดใหม่ด้วยว่า ยังน่าสนใจและแข็งแกร่ง ซึ่งเริ่มจากการเปรียบเทียบอัตราการเติบโตของจีดีพีระหว่างตลาดเกิดใหม่กับตลาดพัฒนาแล้วโดยรวม ในปี 2554 และ ปี 2555 ซึ่งจีดีพีตลาดเกิดใหม่ขยายตัวที่ระดับ 6% และ 5.4% ตามลำดับ ซึ่งดีกว่าตลาดพัฒนาแล้วที่ระดับ 1.4% กับ 0.8% ตามลำดับ
และหากดูตลาดเกิดใหม่แยกรายภูมิภาคด้วยคาดการณ์การเติบโตของจีดีพีปี 2555 โมเบียสตั้งข้อสังเกตุว่า เอเชียขยายตัวมากที่สุด 6.7% ตามด้วยแอฟริกา 5.5% ละตินอเมริกา 3.6% และตลาดเกิดใหม่ยุโรป 2.6%
ช่วงห่างของการเติบโตดังกล่าวทำให้เขามองแนวโน้มการเติบโตของตลาดอื่นในกลุ่มตลาดเกิดใหม่นอกเหนือจากเอเชียซึ่งขยายตัวมากอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น แอฟริกา ละตินอเมริกา และยุโรป ต่างยังมีช่องว่างให้เติบโตได้อีกมาก
ส่วนเงินทุนสำรองสกุลต่างประเทศของตลาดเกิดใหม่เทียบตลาดพัฒนาแล้วตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมายังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและมีมากกว่าตลาดพัฒนาแล้ว ขณะเดียวกันในเดือน ก.พ. ปีนี้ทุนสำรองสกุลต่างประเทศของตลาดเกิดใหม่รวมกันแล้วอยู่ที่ประมาณ 7 ล้านล้านดอลลาร์ ในจำนวนนี้เป็นของจีนมากที่สุดกว่า 3.2 ล้านล้านดอลลาร์
โมเบียส ยังพิจารณาหนี้สาธารณะเทียบจีดีพีของตลาดเกิดใหม่กับตลาดพัฒนาแล้วช่วงปี 2545-2555 ด้วยว่า แตกต่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ โดยหนี้สาธารณะของตลาดเกิดใหม่ลดลงต่อเนื่องล่าสุดอยู่ที่ 30% ของจีดีพีช่วยสถานการณ์ทางการเงินของกลุ่มประเทศนี้ดีขึ้นมาก ส่วนตลาดพัฒนาแล้วอยู่ที่ประมาณ 100% ของ จีดีพี
เงินเฟ้อ-ดอกเบี้ยไม่เป็นปัญหา
โมเบียส รู้ว่าเงินเฟ้อกับอัตราดอกเบี้ย ย่อมมีผลต่อการตัดสินใจเข้าไปลงทุนในตลาดเกิดใหม่ เขายอมรับว่าเงินเฟ้อในละตินอเมริกาโดยเฉพาะอาร์เจนตินาเคยขึ้นเป็นตัวเลขหลักร้อยซึ่งน่ากลัวมาก แต่จากภาพรวมตลาดเกิดใหม่ช่วงปี 2540-2554 อัตราเงินเฟ้อในตลาดเกิดใหม่กลับอยู่ระดับต่ำมากไม่ถึง 10% ยิ่งละตินอเมริ กาช่วงปีเดียวกันต่ำเช่นกันไม่ถึง 10%
เมื่อดูคาดการณ์ค่าเฉลี่ยเงินเฟ้อแยกตามภูมิภาคในกลุ่มตลาดเกิดใหม่พบว่า เอเชียต่ำสุด 3.9% แอฟริกา 5.9% ละตินอเมริกา 6.2% ตลาดใหม่ในยุโรป 6.5% ถือว่าเป็นระดับไม่สูงจนน่ากลัว และหากดูอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นตลาดเกิดใหม่ช่วงปี 2550 จนถึงต้นปี 2555 ยังคงอยู่ระดับต่ำล่าสุดไม่ถึง 4% หากแยกดูเฉพาะตลาดละตินอเมริกาตั้งแต่ต้นปี 2552 ก็ลดลงต่อเนื่อง และแม้ปรับขึ้นบ้างช่วงกว่า 1 ปีที่ผ่านมา แต่ยังอยู่เหนือระดับ 7% เล็กน้อย
สรุปแล้วโมเบียสเชื่อว่าทั้งอัตราเงินเฟ้อและดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเกิดใหม่จากนี้ไปไม่ใช่ปัญหาและมีแนวโน้มจะลดลงอยู่ระดับต่ำ
ค่าพีอีสะท้อนหุ้นถูก
สัดส่วนราคาเทียบกำไรของหุ้น หรือ ค่าพีอี ในตลาดเกิดใหม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่โมเบียสพยายามนำมาอธิบายเพื่อบอกว่า เป็นตัวชี้วัดบอกแนวโน้มราคาหุ้นตลาดเกิดใหม่ช่วง 12 เดือนข้างหน้าได้
เขาหยิบเอากราฟเป็นสถิติค่าพีอีตลาดเกิดใหม่ลงต่ำสุดและขึ้นสูงสุด โดยขึ้นสูงสุดอยู่ที่ 28 เท่าในเดือน พ.ค. ปี 2521 และลงต่ำสุดที่ 7 เท่าในเดือน พ.ย.ปี 2550 แต่ในเดือน ก.พ. ปี 2555 นี้ ค่าพีอียังค่อนข้างต่ำที่ระดับ 10 เท่า สะท้อนว่าราคาหุ้นตลาดเกิดใหม่ยังค่อนข้างถูกอยู่
เมื่อแยกดูเฉพาะ ค่าพีอีหุ้นตลาดละตินอเมริกา ทั้งค่าพีอีขึ้นสูงสุดกับค่าพีอีลงต่ำสุด พบว่า ค่าพีอีสูงสุดที่ระดับ 16 เท่าในเดือน ก.พ. ปี 2537 ค่าพีอีต่ำสุดที่ระดับ 5 เท่าในเดือน ต.ค. ปี 2541 ส่วนเดือนก.พ. ปี 2555 นี้ ค่าพีอีอยู่ที่ 11 เท่า ถือว่าไม่สูงและราคาหุ้นยังค่อนข้างถูกเช่นกัน
ประชากรมากหนุนดีมานด์
โมเบียส แสดงถึงความเชื่อมั่นในพลังการบริโภคของตลาดเกิดใหม่โดยเฉพาะจีนกับอินเดีย เป็นอีกแรงขับเคลื่อนให้ตลาดเติบโตและน่าสนใจ เพราะพิจารณาจากแนวโน้มประชากรตลาดเกิดใหม่ช่วงปี 2493-2554 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องและ 2 ปีที่แล้วจำนวนประชากรอยู่ที่เกือบ 6 พันล้านคน ตรงข้ามกับตลาดพัฒนาแล้วทั่วโลกในช่วงเวลาเดียวกันข้างต้น กลับมีจำนวนประชากรทรงตัวเพิ่มขึ้นน้อยมากราว 1.1 พันล้านคน
จากนั้นดูรายได้ต่อหัวของประชากรในกลุ่มบริค ซึ่งเป็นประเทศเศรษฐกิจดาวเด่นสำคัญของตลาดเกิดใหม่ คือ บราซิล รัสเซีย อินเดีย และ จีน พบว่ายังไม่สูงและน้อยกว่าตลาดพัฒนาแล้ว อย่างสหรัฐ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี และญี่ปุ่น ถึง 10 เท่า สะท้อนว่ายังมีช่องให้รายได้ต่อหัวของประชากรในตลาดสำคัญของตลาดเกิดใหม่เพิ่มขึ้นได้อีกมาก
นอกจากนี้ ยังพิจารณา จีดีพีเทียบการเติบโตของรายได้ช่วงปี 2548-2553 ปรากฏว่า ตลาดเกิดใหม่มีจีดีพีเทียบการเติบโตของรายได้อยู่ที่ 87% ซึ่งสูงกว่าตลาดพัฒนาแล้วอย่างมาก ซึ่งช่วงปีเดียวกันนั้นจีดีพีเทียบการเติบโตของตลาดพัฒนาแล้วเท่ากับ 13%
ดีมานด์ดันยอดขายพุ่ง
โมเบียส ยังนำเสนอ ข้อมูลการใช้สินค้าภาคครัวเรือนในชนบทตลาดสำคัญของตลาดเกิดใหม่ เช่น
ตู้เย็น มีภาคครัวเรือนในชนบทจีนใช้เพิ่มต่อเนื่องจาก 1% ในปี 2533 เป็น 37% ในปี 2552
เครื่องซักผ้า ใช้เพิ่มชึ้นในช่วงเดียวกันจาก 9%ในปี 2533 เป็น 53% ในปี 2552
เครื่องคอมพิวเตอร์ ใช้เพิ่มจาก 0% ในปี 2533 เป็น 7% ในปี 2552
เขาตั้งข้อสังเกตว่า แรงซื้อการใช้สินค้าอำนวยความสะดวกในการดำรงชีวิต ยังปรับขึ้นอีกเหมือนเป็นเส้นทางยาวไกลยังไปได้เรื่อยๆ ดูจากการใช้จักรยานของภาคครัวเรือนในชนบทจีนลดลงจาก 118% ในปี 2533 มาอยู่ที่ 96%ในปี 2552 สวนทางยอดขายรถยนต์เทียบตลาดสหรัฐ ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องล่าสุดเมื่อสิ้นปี 2554ยอดขายรถในจีนอยู่ที่1.6 ล้านคันต่อเดือน สะท้อนความต้องการรถยนต์มีมากกว่าตรงข้ามกับการใช้จักรยานที่ลดลง เช่นเดียวกับ ….
อินเดีย ยอดขายรถยนต์ต่อเดือนช่วงปี 2535-2555 แนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องล่าสุดเกือบ 1.8 แสนคัน
บราซิล ยอดขายรถช่วงปี 2535-2555 เพิ่มต่อเนื่องล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 2.7แสนคัน
อินโดนีเซีย ยอดขายรถมอเตอร์ไซค์ช่วงปี 2535-2555 ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดอยู่ที่กว่า 6 แสนคัน
โมเบียส ยังใช้สถิติอัตราการมีรถยนต์ใช้เทียบประชากรทั้งประเทศ บ่งชี้ว่าความต้องการใช้รถยนต์ประเทศสำคัญตลาดเกิดใหม่ อย่าง อินเดีย จีน บราซิลและเม็กซิโก ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากเมื่อเทียบกับสหรัฐ โดยอัตราผู้มีรถยนต์ในอินเดียกับจีนมีเพียง 1% และ 4% ของประชากร ส่วนบราซิลกับเม็กซิโกมีอัตราผู้ใช้รถ 12% และ 17% ตามลำดับ ตรงข้ามกับสหรัฐมีอัตราผู้ใช้มากถึง 42% ของประชากร
และหากดูการผลิตไฟฟ้าสนองความต้องการใช้ในจีน ละตินอเมริกา และ อินเดีย ช่วงปี 2519-2552 มีแต่จะเพิ่มขึ้น แต่ตลาดจีนมีการใช้เพิ่มขึ้นมากสุดถึง 4 ล้านล้านเมกะวัตต์ ทิ้งห่างละตินอเมริกาที่ใช้ราว 1.4 ล้านล้านเมกะวัตต์ ตามด้วยอินเดีย ใช้ 1 ล้านล้านเมกะวัตต์
โมเบียส กล่าวถึงการใช้อินเทอร์เน็ตในบราซิลและจีน ช่วงปี 2545-2553 พบว่าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ในบราซิลเพิ่มจากกว่า 15 ล้านคน ในปี 2545 เป็น 80 ล้านคนในปี 2553 ส่วนจีนมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มต่อเนื่องจาก 50 ล้านคน ในปี 2545 เป็น 650 ล้านคน ในปี 2553
นอกจากนี้การนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นทองคำ น้ำมัน โลหะต่างๆ และสินค้าด้านพลังงานอื่นๆ ของตลาดเกิดใหม่โดยเฉพาะจีน ช่วง 10-40 ปีที่ผ่านมา มีแต่จะเพิ่มขึ้น สวนทางกับตลาดพัฒนาแล้วที่ทรงตัวและค่อยๆ ลดลง
เปิดรับความเสี่ยงน้อย
โมเบียส ยอมรับทุกที่ทุกตลาดย่อมมีความเสี่ยง แต่หากพูดถึงความเสี่ยงสำหรับตลาดเกิดใหม่นั้น โมเบียสเชื่อว่าความเสี่ยงมีน้อยกว่าตลาดพัฒนาแล้วมาก พิจารณาจากมูลค่าหนี้สาธารณะต่อจีดีพี (Goverment Debt Per Capital) ในปี 2553 พบว่ากลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอย่างญี่ปุ่น อิตาลี แคนาดา ฝรั่งเศสเยอรมนี สหรัฐ อังกฤษ และ สเปน ยังมากกว่าบราซิล เม็กซิโก และ จีน อยู่มาก
นอกจากนี้การส่งออกตลาดเกิดใหม่ทั่วโลกไปยังตลาดสหภาพยุโรป (อียู) ซึ่งปัจจุบันยังวุ่นวายอยู่กับการจัด การวิกฤติหนี้สาธารณะในภูมิภาคนั้นปรากฏว่า ตั้งแต่ปี 2550-2553 การส่งออกหรือพึ่งตลาดยุโรปลดลงอย่างต่อเนื่อง จนเหลือเพียง 15% ของการส่งออกโดยรวม หากดูเฉพาะตลาดเกิดใหม่ในละตินอเมริกา พบว่าส่งออกไปอเมริกาไม่ถึง 13% ของการส่งออกโดยรวม