วรวรรณ ธาราภูมิ
นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน
CEO บลจ.บัวหลวง จำกัด
12 กุมภาพันธ์ 2555
ค่าคอมมิชชั่นโบรกเกอร์ในบ้านเราควรเปิดเสรีไหม เทียบกับประเทศอื่นแล้วเราแพงกว่าหรือเปล่า
ในวันนี้ กองทุนไทยจ่ายให้โบรกเกอร์ที่ให้บริการงานวิเคราะห์เต็มรูปแบบที่ 0.15% ไม่ได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค หรือของโลกแล้ว ส่วนรายที่ไม่มีงานวิเคราะห์และเสนอตนเป็นทางผ่านไปซื้อขายหุ้นในตลาดฯ อย่างเดียวด้วยอินเตอร์เน็ต เขาคิดที่ 0.05%
ทำไมมีบางรายคิดต่ำ บางรายคิด 0% และบางรายให้ลูกค้ารายใหญ่ไปใช้พอร์ตบริษัทหลักทรัพย์ของตนเองไปซื้อขายหุ้นได้
ที่โบรกเกอร์จะไปลดค่าธรรมเนียมจนเหลือ 0% สำหรับรายใหญ่รายใด หรือให้เทรดผ่านพอร์ตบริษัทโบรกเกอร์นั้น เราไม่มีข้อมูลเป็นเอกสารยืนยัน แต่มันเป็นไปได้หรือที่ผู้ถือหุ้นของบริษัทโบรกเกอร์จะยินยอมให้เอาพอร์ตบริษัทไปให้ลูกค้ารายใหญ่ทำอะไรก็ได้ ในเมื่อแต่ละรายก็บอกว่าตนเองมีธรรมาภิบาล มีจริยธรรม
ถ้าเปิดเสรีค่าคอม จะมีผลดีผลเสียอย่างไร
ผลดีก็คือ ไม่มีการผูกขาดราคาแบบกลุ่ม ที่เรียกว่า Oligopoly เทียบง่ายๆ ก็แบบที่กลุ่ม OPEC ร่วมกันกำหนดราคาน้ำมันนั่นแหละ ผู้บริโภคจึงน่าจะได้ความเป็นธรรมในด้านราคาและบริการมากกว่าการปล่อยให้เกิดการรวมตัวกันกำหนดราคาที่อาจจะแพงไปเมื่อเทียบกับบริการที่ลูกค้าจะได้รับ
แต่ผลเสียก็คืออุปนิสัยของคนไทยนั่นแหละ ทั้งด้านลูกค้า และด้านโบรกเกอร์เอง เมื่อจำนวนรายลูกค้าของตลาดหุ้นไทยมันน้อยเหลือเกิน มีไม่ถึง 1 ล้านคน อาจจะสัก 6 แสนคน และมีรายใหญ่ไม่กี่รายที่ซื้อขายรวมกันในสัดส่วนมากๆ รายใหญ่พวกนี้เขาก็ได้เปรียบโบรกเกอร์ ก็เกิดการต่อรอง หรือแม้จะไม่ต่อรองแต่โบรกเกอร์ไปเสนอเอง ราคามันก็เลยลดลงมาเรื่อยๆ จนวันนี้เริ่มเห็นแนวโน้มการทำการตลาดแบบเลือดเข้าตา ใช้บริการโบรกเกอร์แถมกระติกน้ำ แถมกองทุน อีกหน่อยคงแถมตำแหน่ง CEO ให้ ก็ทำให้เราสงสัยเหมือนกันว่าโบรกเกอร์เขาไม่เห็นคุณค่าในตัวเขาเองบ้างเลยหรือ ไม่เห็นคุณค่างานวิเคราะห์ที่ทีมงานเขาทำหรอกหรือ ถึงได้ยอมลดค่าคอมได้ขนาดนั้น เพียงเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดเอาไว้ นอกจากนี้ก็มีข้อสังเกตุด้วยว่า คนไทยไม่ค่อยคิดถึงอนาคต เวลาขยายธุรกิจก็ไม่สร้างคน เอาแต่ดึงคนเข้าเพื่อให้คนที่ถูกดึงไปนั้นลากลูกค้ารายใหญ่จากที่เดิมตามไปด้วย แล้ววิธีแก้ไขในอดีตก็น่าเป็นห่วงเพราะมีการกักกันเสรีภาพในการย้ายงานของมาร์เก็ตติ้ง ซึ่งส่วนตัวมองว่าผิดกฏหมายแรงงาน
ก็หากมาร์เก็ตติ้งของคุณดีขนาดที่ว่าสูญเสียไปไม่ได้ ทำไมไม่ให้เขาเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทไปเลย ไม่ดีกว่าหรือ บางทีการจ่ายคอมอย่างเดียวมันก็ทำร้ายบริษัท ทำร้ายผู้บริหาร พนักงาน และในที่สุดก็จะทำร้ายลูกค้าไปด้วย เพราะในที่สุดลูกค้าจะซื้อขายหุ้นด้วยการเก็งกำไรล้วนๆ เพราะมาร์เก็ตติ้งต้องเชียร์ให้เกิดการซื้อๆ ขายๆ เพื่อจะได้รับค่าคอม
บางคนมองว่าแม้การเปิดเสรีจะทำให้โบรกเกอร์หลายรายต้องล้มหายตายจากไป แต่ตลาดโดยรวมจะดีขึ้น นักลงทุนได้ประโยชน์จากค่าคอมมิชชั่นที่ลดลง ได้รับผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลายมากขึ้น เพราะโบรกเกอร์ต้องดิ้นรนพัฒนาตนเองเพื่อความอยู่รอด แต่ปัญหาอีกด้านที่ถูกมองข้ามไปก็คือ ในความเป็นจริง เมื่อธุรกิจรายได้ลด ส่วนแรกที่กิจการจะทำเพื่อความอยู่รอดคือลดการจ้างงานในส่วนที่เห็นว่าจำเป็นน้อยที่สุด ปริมาณและคุณภาพของบทวิเคราะห์หลักทรัพย์นั่นแหละที่จะโดนก่อน และเราก็เริ่มเห็นผลกระทบแล้ว เพราะจำนวนนักวิเคราะห์หดหายไปถึง 1 ใน 3
โบรกเกอร์รายหนึ่ง ให้ข่าวว่า “ปัจจุบันโบรกเกอร์ทุกรายได้เตรียมความพร้อมด้วยการทำให้ตัวเองมีต้นทุนน้อยที่สุด โดยเฉพาะต้นทุนด้านงานปฎิบัติการ (Back Office) รวมทั้งงานวิจัยก็ลดลง ระบบการซื้อขายก็ไม่ลงทุนใหม่ ใช้ระบบเดิมของทางเซ็ทเทรดที่มีอยู่ และไปทุ่มเงินด้านมาร์เก็ตติ้ง ทำให้โบรกเกอร์เล็กจึงยังอยู่ได้ในภาวะเปิดเสรีค่าคอม แต่หากจะต้องการบริษัทเติบโตก็ต้องหาทางควบรวมกันเอง”
ข่าวอย่างนี้ ทำให้สะดุ้งสะเทือนกันบ้างไหมล่ะ
จะแก้ไขเรื่องงานวิเคราะห์ด้วยการให้รัฐกำหนดบังคับได้ไหม
การจะแก้ด้วยการให้รัฐแทรกแซงด้วยการออกกฏบังคับให้มีการผลิตบทวิเคราะห์หลักทรัพย์ หรือบังคับให้ดำรงจำนวนขั้นต่ำของนักวิเคราะห์ มันก็ทำได้ แต่จะไปค้านกับแนวคิดทุนนิยมเสรีอย่างที่ตั้งใจจะให้เป็นกันไม่ใช่หรือ เพราะคอนเซปท์ของตลาดที่มีประสิทธิภาพตามแนวคิดแบบทุนนิยมเสรีเต็มขั้นนั้น จะต้องไม่ปกป้องผู้อ่อนแอ และจะต้องไม่ขัดขวางผู้มีกำลังมากกว่า แม้จะครองตลาดทั้งหมด ในระบบที่ดีนั้น รัฐต้องไม่เข้ามาแทรกแซงกลไกตลาด ของเรามันแปลกๆ ที่บอกว่าต้องเป็นทุนนิยมเสรี แต่ในทางปฏิบัติกลับเลือกเสรีมั่ง ไม่เสรีมั่ง
เปิดเสรีค่าคอมและโบรกเกอร์แล้ว จะช่วยเพิ่มจำนวนลูกค้ากับปริมาณการซื้อขายหุ้นไหม
ในความเป็นจริงนะ หากสินค้ามันห่วย ต่อให้ขายในราคา 0 บาท ก็ไม่มีใครซื้อ จริงไหมล่ะ แต่ถ้าสินค้ามันดีจริงๆ ขายแพงกว่าที่อื่นบ้าง คนก็แย่งกันซื้ออยู่ดี
แล้วตอนนี้เรามีสินค้าห่วยหรือดี
ตอนนี้ใครๆ ก็วิ่งเข้าเอเชีย ก็เพราะรู้ว่าสินค้าที่มีในตลาดทุนมีศักยภาพ เราก็มีของดีด้วยเหมือนกัน แต่เรามี
สินค้าน้อยเกินไป เราจึงควรเร่งพัฒนาให้ถูกจุด การที่ตลาดทุนไม่โตมากดังใจ มันไม่ใช่เรื่องเปิดเสรีหรือไม่เปิด จึงอยากให้มองปัญหาให้ถูกจุด ค่าคอมมันแค่องค์ประกอบหนึ่งเท่านั้นซึ่งไม่ได้เป็นจุดตัดสินใจใหญ่เลยโดยเฉพาะเมื่อตอนนี้ก็ไม่ได้แพงกว่าค่าเฉลี่ยของโลก แถมยังถูกกว่าเพื่อนบ้านแล้ว ส่วนจะเปิดให้โบรกเกอร์ต่างชาติเข้ามาทำกิจการเพิ่มนั้น ถ้าเขาเข้ามาแล้วลูกค้าซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการอยากจะเปิดเสรีเขาได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นจริง ก็ให้เข้ามาเถิด แต่จะได้ประโยชน์จริงหรือไม่ ขอให้ไปศึกษาพฤติกรรมการซื้อขายหุ้นของลูกค้า และถามลูกค้าก่อนน่าจะได้ภาพที่สะท้อนความจริงมากขึ้น
ทำไมถึงมีการมองว่าตลาดทุนไทยสู้คนอื่นไม่ได้ โดยเฉพาะเพื่อนบ้าน
มันก็ขำๆ นะ หากสู้ไม่ได้จริงๆ ทำไมผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ตั้งหลายรุ่นถึงไม่โดนเชิญให้ออกเล่า
ในความเห็นส่วนตัว อย่ามองว่าทำไมประชากรไทยทั้ง 67 ล้านคนถึงเข้ามาลงทุนในหุ้นไม่ถึง 1 ล้านคน และจะเอาอัตราส่วนประชากรที่ลงทุนในหุ้นของไทยไปเทียบกับฐานของสิงคโปร์ไม่ได้ เพราะ Architecture ของประเทศและประชากรมันต่างกันมาก บ้านเราเป็นสังคมเกษตร แต่สิงคโปร์เป็นฐานทางการเงินการลงทุน การเปรียบเทียบสัดส่วนผู้ลงทุนในตลาดหุ้นของเรากับสิงคโปร์จึงเป็นการเทียบที่ไม่ยืนอยู่บนความเป็นจริง เพราะในขณะที่เกษตรกรและผู้ใช้แรงงานอื่นๆ ยังลืมตาอ้าปากไม่ได้ เราจะไปตั้งเป้าให้เขาลงทุนในหุ้นได้อย่างไร กับเกาหลีใต้ก็เหมือนกัน เขาเป็นสังคมอุตสาหกรรม ไม่ใช่สังคมเกษตร และเขาก็มี product หลากหลายกว่าเรา
ปัญหาคือเรามักคิดไปเองหรือเปล่าว่าเราจะถูกนับว่าเป็นประเทศพัฒนาหากมีผู้ลงทุนในตลาดหุ้นเยอะๆ โดยไม่ได้แบ่งคัดว่าใครคือผู้มีศักยภาพในการลงทุนในตลาดหุ้น
ประเด็นที่ถกเถียงกันก็คือ มีคนจำนวนไม่น้อยที่มองว่าตลาดทุน หรือเรียกง่ายๆ ว่าตลาดหุ้น กับคนในวิชาชีพนี้เอาเปรียบ เพราะคิดค่าบริการหรือค่าคอมแพงไป
คนไทยสมัยนี้นะ เวลาจะทำอะไรให้อิงมวลชนไว้ ให้พูดว่าทำเพื่อประชาชน แล้วจะดูดี
ณ ปัจจุบัน ไม่ได้แพงกว่าค่าเฉลี่ยในเอเชียเลย เกาหลี ฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ ก็แพงกว่าเราทั้งนั้น
แล้วการเปิดเสรีค่าคอมจะเป็นปัญหาอะไร
ปัญหามันเกิดเพราะมีแนวโน้มในการแข่งขันแบบเลือดเข้าตาด้วยการไปลดค่าคอมให้ลงไปกว่านี้ ซึ่งจะกระทบต่อพัฒนาการที่ดีของตลาดทุนทั้งหมดทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง แต่ส่วนตัวก็คิดว่ามันเป็นเรื่องของแต่ละราย ไม่ได้อยากให้ไปบังคับว่าต้องเปิดหรือไม่เปิดเสรีหรอก
ได้ยินมาว่าบางรายเสนอ 0% เท็จจริงอย่างไรไม่ทราบ
ที่รู้มาแน่ๆ คือมีโบรกเกอร์ที่คิดเพียง 0.02% ซึ่งก็อาจเป็นประเด็นที่ทำให้คนที่ลดค่าคอมมากๆ พยายามลดค่าใช้จ่ายด้วยการลดงานวิจัย ทำให้จำนวนผู้วิเคราะห์วิจัย หายไปจากระบบอย่างน่าสังเกตุ และเกิดการเอาเปรียบ การละเมิด กันขึ้น ตัวอย่างเช่น ไปใช้งานวิเคราะห์ของโบรกเกอร์รายหนึ่ง แล้วไม่ซื้อขายผ่านเขา กลับไปซื้อขายผ่านโบรกเกอร์ที่คิดราคาถูกๆ หรือแม้แต่ 0% หรือเอาไปซื้อขายผ่านระบบอินเตอร์เนตของอีกโบรกเกอร์ แบบนี้เป็นการกระทำที่น่ารังเกียจ เพราะกว่าคนจะทำงานวิเคราะห์วิจัยออกมาได้ มันใช้เวลา ใช้ความรู้ และประสบการณ์มาก หากเราไม่ให้คุณค่างานของเขา แล้วกระทำตัวเยี่ยงโจร ทั้งระบบมันจะพัง เพราะในที่สุดก็จะไม่มีใครลงทุนในด้านงานวิเคราะห์อีกต่อไป ก็คล้ายๆ ไปซื้อเทปผี ซีดีเถื่อน หากทำกันแบบนั้นแล้ว คนที่ผลิตงานดีๆ เขาจะเอาอะไรกิน เขาก็ล้มหายตายจากไปน่ะสิ ต่อไปเราก็ต้องร้องเพลงกันเอง ฟังกันเอง ไม่ไหวหรอก แล้วในที่สุดตลาดหุ้นบ้านเราจะไม่มีคุณภาพเพราะจะมีแต่พวกเก็งกำไร ไม่คิดถึงการลงทุนด้วยปัจจัยพื้นฐาน เพราะไม่มีงานวิเคราะห์ที่ดีมาสนับสนุน
ที่สำคัญก็คือ แน่ใจหรือว่าลดค่าคอม เปิดเสรีธุรกิจแล้ว เราจะเพิ่มจำนวนผู้ลงทุนได้ เคยได้ยินไหมว่า บ้านนี้ลูกสาวดีจริงๆ ค่าสินสอดเท่าไรก็จะจ่าย
เรื่องสงครามราคามีในวงการ บลจ. ไหม
วงการเราให้เสรีในการคิดค่าธรรมเนียมกัน ก็เลยมีการแข่งขันราคากันอย่างที่ไม่มีที่ไหนในโลกจะเจอ ยกตัวอย่างเช่น กองทุนอสังหาริมทรัพย์ ไปค้นดูได้เลยว่าในแต่ละประเทศในโลกนี้ บลจ. เขาได้ค่าจัดการกองทุนเท่าไร ในขณะที่ของไทยเราคิดค่าจัดการกองทุนถูกกว่าเขาเกิน 10 เท่า จนต่างชาติตกใจ
หรือจะไปดูด้านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพก็ได้ เราถูกลูกค้ารายใหญ่ๆ กดค่าจัดการกองทุนจนไม่เป็นธรรมในการทำธุรกิจแล้ว ความรู้สึกส่วนตัวคือเหมือนเราไม่มีเกียรติในวิชาชีพเลย การที่อุตสาหกรรมทำงานกันเต็มที่ในการบริหารจัดการกองทุนนั้น เขากลับไม่เห็นคุณค่า ไม่เห็นผลประกอบการที่ดีและคุ้มกับค่าจัดการ บางคนถึงกับมองว่าผู้จัดการกองทุนเป็นผู้เอารัดเอาเปรียบที่มาคิดค่าจัดการกองทุนจากเงินเก็บสะสมของเขาก็มี ทุกวันนี้ค่าจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพถูกกดลงจนขาดทุนเมื่อเทียบกับบริการที่ให้ แต่อุตสาหกรรมเราก็ไม่ได้ทำอะไร เพราะเราก็ห่วงว่าจะเป็น Oligopoly Business
หากเรามีคุณค่าแต่ลูกค้าไม่เห็นคุณค่าของเรา ก็ป่วยการจะตามตี๊อไปให้บริการเขา เอาเวลาไปทำสิ่งดีๆ ให้ลูกค้ารายอื่นที่เล็กกว่าไม่ดีกว่าหรือ จะแข่งกันโต จะเพิ่มมาร์เก็ตแชร์โดยไม่มีกำไร แถมยังขาดทุน กันไปทำไม ตรงนี้เป็นสิ่งที่แต่ละ บลจ. ตัดสินใจกันเอง เพราะโมเดลทางธุรกิจแตกต่างกัน ความจริงก็ว่ากันไม่ได้ว่าใครคิดผิดคิดถูก
รายย่อยจะกระทบไหม
นักลงทุนรายใหญ่จะมีความเชี่ยวชาญการลงทุน และเข้าถึงฐานข้อมูลที่รอบด้านมากกว่า ไม่จำเป็นต้องอาศัยคำแนะนำอย่างรายย่อยซึ่งจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากคุณภาพที่ขาดหายไป และมาร์เก็ตติ้งของโบรกเกอร์ก็จะยิ่งไปเน้นให้เขาซื้อขายโดยขาดความรู้มากขึ้น
ที่สำคัญนั้น ในต่างประเทศซึ่งมีการเปิดเสรีค้าหลักทรัพย์ไปก่อนหน้านี้นั้น กลับปรากฏว่าไม่ได้เกิดประโยชน์ต่อประเทศโดยรวม คนอังกฤษบนท้องถนนเขารวยขึ้นไหมเมื่อเทียบกับก่อนเปิดเสรี ไม่เลย กลับจนลงต่างหาก แต่คนรวยขึ้นคือคนส่วนน้อยที่ทำธุรกิจกับตลาดหุ้นนั่นแหละ แล้วก็เป็นต่างชาติเป็นส่วนใหญ่ ไม่มีความเป็นตัวตนของอังกฤษเหลือเห็นอีกแล้วในตลาดหุ้นลอนดอน
นอกจากนี้ การเปิดเสรีก็จะต้องลดกฏเกณฑ์การกำกับดูแลลง ทำให้ต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจได้ง่ายขึ้น แล้วเรายังมั่นใจในมาตรฐานต่างชาติหรือว่าเขาอยู่ในกฏกติกามากกว่าคนไทย ข่าวเสียๆ ก็มีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ กับโบรกเกอร์ชื่อดังระดับโลก
อีกเรื่องที่ต้องคิดก็คือเมื่อเกิดปัญหาเศรษฐกิจทั้งในอเมริกากับยุโรป ส่วนของเอเชียกลับไม่กระทบเพราะไม่มีความเชื่อมโยงจากทั้ง 2 ภูมิภาคที่ประสบปัญหา แล้วเราจะไปผูกกับคนป่วยๆ ไปทำไม ยิ่งเวลานี้เอเชียกำลังจะได้ประโยชน์จากทุนที่หลั่งไหลเข้ามาลงทุน เรากลับจะยกประโยชน์ไปให้คนอื่นมาร่วมรับอานิสงส์ไปทำไมกัน