ค้นหาบล็อกนี้

วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2554

เมืองไทยยามไกลบ้าน ตอนที่ 2

คุณวรวรรณ ธาราภูมิ
 CEO บลจ. บัวหลวง

28 กันยายน 2554



เดิมว่าคราวนี้จะเล่าเรื่องทองคำ กับ Class warfare ของ 0_bama ที่กำลังเป็น Talk of the Town ในสหรัฐ ก็พอดีมีแต่เสียงรอบข้างบอกว่ากำลังกังวลเรื่อง EU

รายงานวิเคราะห์จากโบรกเกอร์ที่ส่งมาวันนี้ทุกฉบับก็เป็นเรื่อง EU ทั้งนั้น

ดูเหมือนว่าทุกคนมองว่าปัญหาในสหรัฐนั้นน้อยกว่า EU  

ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  ก็ว่ากันไป๊

จริงอยู่ที่ยุโรปมีปัญหาหนัก เพราะความที่อยากแต่งงานกันมาก และก็ทำสำเร็จจนกลายเป็น EU หรือกลุ่มยูโรโซน ร่วมครอบครัวกัน 27 ประเทศ ทั้งๆ ที่บางประเทศไม่ได้มีฐานะเข้าขั้นที่จะเข้าร่วมวงศ์สกุลของ EU ได้เลย แต่ความที่อยากได้สาวเจ้านัก ก็เลยลด Spec ให้ เอาละ ถึงเอเธนส์จะเป็นสาวสลัม แต่ก็งามนัก เอามาร่วมวงศ์พงศ์พันธุ์ให้ใช้สกุล ณ อียู ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

เล่าถึงสกุลที่มี ณ นำหน้าแล้วนึกได้เรื่องนึง 

ส่วนมากเราจะได้ยินนามสกุลที่มาจากสายสกุลสูงเช่น ณ อยุธยา  ณ สกลนคร  ใช่ไหม

แล้วเคยได้ยินคนนามสกุล ณ จ๊ะ  กับ ณ โมตัสสะ บ้างไหมล่ะ นี่ก็พยายามสืบค้นว่าเจ้าเพื่อน 2 คนสมัยเรียนด้วยกันที่บอกว่าตายายของมันมีนามสกุลประหลาดๆ แบบนั้นน่ะ มันมาจากสายไหน ค้นมา 30 กว่าปีแล้ว ยังไม่เจอเลย ใครรู้ก็บอกด้วย

เอา กลับเข้าเรื่องกันเหอะ

ทีนี้ EU ก็เกิดความง่อนแง่นเดือดร้อนเพราะการใช้จ่ายเงินสุรุ่ยสุร่ายของสาวเอเธนส์ที่มีแต่จ่ายแต่ไม่ยอมทำงานหาเงินเท่าไร สู้นังเรยาไม่ได้ เพราะอย่างน้อยก็ยังเป็นแอร์โฮดสะเต้ด พอนังเอเธนส์ไม่พอใช้ มันก็มาแบมือขอทำตากะปริ๊บๆ ทุกครั้ง (และสาวอื่นๆ ในสกุล EU ที่มีเชื้อสายมาจากกลุ่ม PIIGS ก็เอาอย่างกัน)  

ไอ้ที่จะเลิกกัน ไล่นังเอเธนส์  หรือไล่นังคนอื่น ออกจากบ้านก็ลำบากใจ เพราะหลวมตัวปล่อยกู้กันไปหลายประเทศแล้ว  

ร้อนถึงหัวหน้าตระกูล EU อย่างเฮีย Nicolas Sarkozy ผู้มีเมียสาวสวยมาก กับเจ๊ Angela Merkel นายกรัฐมนตรีเยอรมันนี จนต้องเข้ามาจัดการ

จัดการกันไป จัดการกันมา ธนาคารต่างๆ ที่โดนเฮียกับเจ๊ลากเข้าไปช่วยซื้อพันธบัตรกรีซก็กำลังจะจมน้ำตายไปด้วย ซึ่งธนาคารของฝรั่งเศสก็โดนลดอันดับความน่าเชื่อถือกันไปแล้ว และคงจะไม่หยุดลดอันดับอยู่แค่ธนาคารไม่กี่แห่งเหล่านั้น

แล้ววันนี้เขากลัวอะไรกันล่ะ

กลัว EU จะสิ้นสกุลไง

ก็น้ารูบินี ยังโว้กว้ากอยู่เนืองๆ ว่า แย่แล้วๆ โลกกำลังจะเจอเศรษฐกิจถดถอยเป็น Great หรือ Double Dips Recession และมีแนวโน้มจะไปถึงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำหรือ Great Depression ด้วยนะเว่ย เฮ่ย

หลายคนที่ไม่เชื่อน้ารูบินี  ไม่เชื่อตั้งแต่บอกว่ามีโอกาสสูงที่จะเป็น Great หรือ Double Dips Recession  แต่มาวันนี้ก็ออกมาบอกว่ามีแนวโน้มสูงมากที่จะเป็น

ก็เหลือแต่ The Great Depression ละ  ซึ่งเราก็ต้องดูกันต่อไป

แต่อย่าลืมเป็นอันขาดว่า พวกเราเรียกมันว่า The Great Correction ซึ่งไม่ใช่ภาษาการเงิน ไม่ใช่ภาษาเศรษฐศาสตร์ ดังนั้น จะไม่มีใครมาว่าเราทีหลังว่าทายผิด

เอ้า มาดูกรอบการจัดการวิกฤติหนี้ของ EU กัน

เรื่องนี้ สกุล EU เขาตกลงว่าจะทำเป็น Financial Stability Package ไว้คอยช่วยเหลือพวก ณ EU ด้วยกันในวงเงินรวมทั้งสิ้น 750,000 ล้านยูโร แบ่งเป็น 3 วงเงินช่วยเหลือ ได้แก่



1.         EFSM หรือ European Financial Stabilization Mechanism 60,000 ล้านยูโร
2.       EFSF หรือ European Financial Stability Facility 440,000 ล้านยูโร  
3.         IMF หรือ International Monetary Fund 250,000 ล้านยูโร (นี่คือไอ้ตัว 2 มาตรฐานแท้ๆ เวลาไทยเจอมรสุมต้มยำกุ้งปี 2540 มันกระทืบเราเสียแบนแต๊ดแต๋ ซึ่งก็ออกมายอมรับแล้วว่าอั๊วคิดผิดไปแย้ว....... บ้าเอ๊ย)      

ใครมีปัญหากับการจำ 2 ชื่อแรกไหม ปวดหัวชะมัด ชื่อย่อก็คล้ายๆ กันด้วย

มาดูเจ้าตัวที่สองกัน

เจ้า EFSF นี่เป็นกองทุนเฉพาะกิจที่ตั้งขึ้น​เมื่อ 9 พค 53 โดยกลุ่มยูโรโซน​ มีสำนักงานใหญที่ลักเซมเบิร์ก เพื่อทำหน้าที่รักษาเสถียรภาพทางการเงินในยุโรปด้วยการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่รัฐบาลของประเทศที่เจ๊กอั้กทางเศรษฐกิจ ​ โดยมีธนาคารเพื่อการลงทุนของยุโรปกับสำนักงานบริหารหนี้เยอรมนี ให้คำแนะนำ

EFSF มีบทบาทในการปล่อยเงินกู้ให้กับประเทศยูโรโซนที่ประสบปัญหา ​ผ่านช่องทาง​การระดมทุนที่รวมถึง​การออกตราสารหนี้ และเมื่อ 24 มี.ค. 54 สมาชิกตระกูล ณ อียู ยอมให้ขยายวงเงินระดมทุนเป็น 440,000 ล้านยูโรได้ เพราะท่าทาง 220,000 ล้านยูโร มันจะเอาไม่อยู่สำหรับปัญหากลุ่มลูกหมู PIIGS  ซึ่งแค่ช่วยนังเอเธนส์ ตัวดีคนเดียว ก็ท่าทางจะตึงมือไม่น้อย

แต่แม้สมาชิก ณ EU จะบอกให้เพิ่มทุนได้ แต่ทุกคนก็ต้องกลับไปถามรัฐสภาในประเทศของตนว่าโอเคไหม

ก็เหมือนเรื่องที่ คุณนพดล กลายเป็น คุณนพโดน ในกรณีเจรจาการเมืองกับกัมปูเจี๋ยโดยไม่ได้ขอมติอนุมัติจากสภาเราก่อนนั่นแหละ

ในวันที่ 29 กันยายน นี้ ตามวันเวลาของเยอรมนี วุฒิสมาชิกเยอรมนีจะลงมติ​เรื่องเพิ่มขนาด EFSF ซึ่งที่ผ่านมาก็เซย์โนมาตลอด เพราะประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งของเยอรมนีไม่พอใจที่จะเอาเงินจากหยาดเหงื่อแรงงานของตนไปช่วยอุ้มนังเอเธนส์ที่แสนขี้เกียจและเอาเปรียบคนอื่น

ใครเป็นเจ๊ Angela Merkel ก็คงปวดเฮด ไหนจะต้องห่วงเรื่องคะแนนเสียงที่ลดลงไปฮวบๆ ไม่เหมือนน้ำหนักตัวเธอเลย แล้วยังต้องห่วงว่าหากวุฒิสมาชิกไม่ผ่านการเพิ่มทุนให้ EFSF แล้วละก็  EU จะถึงแก่กาลบ้านแตกสาแหรกขาดกันแน่ๆ แถมยังมีธนาคารเยอรมันหลายแห่งที่ให้ นังเอเธนส์ นังฟลามิงโก้ ไอ้เจ้ามาตาดอร์ ฯลฯ ในกลุ่มลูกหมูกู้ไปอีกจำนวนมาก เพราะธนาคารยักษ์ๆ ในเยอรมนีกับผรั่งเศสและที่อื่นๆ พวกนั้นจะล้มตึงหากเพิ่มทุนมาคุ้มหัวหนี้เสียของกลุ่มลูกหมูไม่ได้

ล่าสุด รัฐบาลของ เจ๊แองจี้ (Angela Merkel)  ก็แพ้การเลือกตั้งท้องถิ่นของเยอรมนีในเมือง Berlin เมื่อวันที่ 18 ก.ย. 54 เพราะประชาชนทนไม่ไหวแล้ว ที่เอาเงินภาษีไปอุ้มนังเอเธนส์ จึงมีคนคาดกันว่าแผนการเพิ่มวงเงินกองทุน EFSF มีโอกาสสูงที่จะไม่ผ่านการอนุมัติจากรัฐสภาเยอรมนีในวันที่ 29 ก.ย. นี้

เออหนอ .... อิทธิฤทธิ์ นังเอเธนส์ นี่มันรุนแรงถึงกับจะลากทั้งตระกูลให้ล่มจม ตกแป้กไปอีกหลายปี และน่าจะเป็นทศวรรษได้เลยนะนี่

เฮ้อ จะแต่งงานกับคนจนทั้งทีก็ไม่รู้จักหาคนดีที่ใช้จ่ายและหาเงินเป็น  นี่ละหนา ตัณหาพาไป

อย่างไรก็ตาม สหรัฐซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดในไอเอ็มเอฟ บอกว่าพร้อมจะสนับสนุน​การเพิ่มทุนผ่านการให้ไอเอ็มเอฟจ่ายเงินสมทบแก่ EFSF มากยิ่งขึ้น  

จำได้ไหม ที่เคยบอกว่า หากเราเป็น เจ๊แองจี้ (Angela Merkel) เราก็จะไปบี้เอาเงินจาก 0_bama มันก็เป็นจริงแล้วไง

ที่กล้าว่าไปเช่นนั้นล่วงหน้าก็ไม่ใช่ว่าเราเป็นเทพีพยากรณ์หรอก (ทั้งหน้าและหุ่นสมกับเป็นเทโพมากกว่า) แต่เป็นเพราะเรารู้ว่าธนาคารในสหรัฐหลายแห่งก็ปล่อยกู้/ลงทุนในตราสารของยุโรปไง รวมไปถึง Money market Fund ด้วย รายใหญ่ๆ ทั้งนั้นเลย หาก PIIGS แป้ก สหรัฐก็จะอ่วมอรทัยไปด้วย

แล้ว 0_bama จะไปเอาเงินมาจากไหนล่ะ ในเมื่อตัวเองก็หมดตู้ด จนชื่อเป็น President Zero ไปแล้ว

ใครที่เป็นแฟนนานุแฟนประจำ คงตอบได้ ใช่ไหม 555555+

และเมื่อเศรษฐกิจเน่ามากขึ้น ลามมากขึ้น หากเราเป็น 0_bama เราก็จะไปบี้เอากับปักกิ่งนั่นแหละ ด้วยคำขู่ว่า หากอเมริกาตาย พวกลื้อก็ซี้แหงแก๋ไปด้วยละเว่ย ในเมื่อลื้อปล่อยกู้อั๊วตั้งเยอะ และลื้อก็ขายของให้ทั้งอั๊ว ทั้ง EU ตั้งมาก

ล่าสุด นังเอเธนส์ โดน EU กับ IMF จับขึงพืด บังคับให้เร่งทำแผนลดการขาดดุลงบประมาณ ดังนี้

               ลดจำนวนตำแหน่งงานภาครัฐ ประมาณ 20,000 ตำแหน่ง
               ลดเงินเดือนพนักงานภาครัฐและลดเงินบำนาญข้าราชการ
               เก็บภาษีน้ำมัน Heating Oil
               ปิดกิจการรัฐวิสาหกิจที่ขาดทุน
               เร่งการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
               ลดงบประมาณรายจ่ายด้านอนามัย

หากนังเอเธนส์ไม่ยอม เรื่องที่เธอจะมาขอเงินช่วยเหลือในรอบที่ 6 อีก 8 พันล้าน EUR ก็จะไม่ให้แล้ว  ซึ่ง ณ วันนี้ กรีซมีเงินพอจะบริหารประเทศไปจนถึงเดือน ตค นี้เท่านั้น จึงเกิดความเสี่ยงต่อกรีซ และประเทศเจ้าหนี้อย่างเยอรมนีและฝรั่งเศสมากขึ้น ทำให้ตลาดเงินตลาดทุนป่วนกันไปหมดเพราะความกลัวพลิกขึ้นมาเหนือความโลภอีกครั้งแล้ว (Fear Over Greed)

และเมื่อมีข่าว นิๆ โหน่ยๆ ว่ากรีซจะได้เงินช่วยเหลือ ตลาดก็ดีขึ้น เพราะ Greed Over Fear  กลับเข้ามาอีกวันหนึ่ง น่าเบื่อจริงๆ เมื่อคนเอาแต่เก็งกำไร ไม่มองไปที่ปัจจัยพื้นฐาน และไม่แสวงหาความรู้ก่อนจะลงทุน  แต่สำหรับคนเก็งกำไรที่มีความรู้ ขยันวิเคราะห์ข้อมูล  อันนี้ต้องชมกัน เพราะเขาก็หากำไรจากตลาดเน่าๆ ได้ อย่าง อา Jim Rogers
                       
อย่างไรก็ตาม หากนังเอเธนส์ได้เงินกู้มาอีก 8,000 ล้านยูโร ก็แค่ซื้อเวลาเท่านั้น  
                       
ซึ่งนายกรัฐมนตรีกรีซ จะประชุม ครม. เพื่อหารือเกี่ยวกับการโดน EU และ IMF ขึงพืดให้รัดเข็มขัดว่าจะยอมไหม หากไม่ยอมก็จะถูกเฉดหัวออกจากคฤหาสน์ตระกูล ณ EU   และเมื่อได้ผลแล้วก็จะเข้าหารืออย่างเป็นทางการกับ EU และ IMF อีกครั้งในวันที่ 3 ต.ค.

ดังนั้น ความเสี่ยงจึงอยู่ที่กรีซจะเร่งดำเนินการตามแผนลดงบประมาณที่กำหนดไว้ทันหรือไม่ ในเมื่อมีชาวกรีซประท้วงเผาตัว มีคนจำนวนมากขึ้นทุกวันมาประท้วงไม่ยินยอมกับการรัดเข็มขัดอย่างนี้ และหากล่าช้า ก็จะไม่ได้รับเงินช่วยเหลือในรอบที่ 6 กลางเดือน ต.ค. นี้  แล้วนังเอเธนส์จะเอาอะไรไปจ่ายหนี้กับค่าใช้จ่ายภาครัฐ/สวัสดิการสังคมให้พวกเธอล่ะ ในเมื่อมีเงินใช้พอเพียงเดือนตุลาคมนี้เท่านั้น

กรีซจึงเตรียมเสนอแผนลดเงินเดือนและลดการจ่ายเงินบำเหน็จบำนาญข้าราชการลงเพื่อแลกกับเงินกู้ฉุกเฉินงวดใหม่  โดยจะลดเงินบำเหน็จบำนาญ 20% สำหรับข้าราชการที่เงินเดือนสูงกว่า 1,200 ยูโร ขึ้นไป และจะลดบำเหน็จที่จ่ายให้กับข้าราชการที่เกษียณก่อน 55 ปีลง 40% รวมทั้งจะลดเงินเดือนข้าราชการ 30,000 คน

โอ้ว ...... หากเป็นเรา เราจะยอมไหมล่ะ หือ .....
  
อีวานเจลอส วีนิเซลอส รมต.คลัง กรีซ ถึงกับกล่าวว่า 'หากไม่มีการแทรกแซงให้ความช่วยเหลือ ความเสี่ยงสูงมากกำลังเกิดกับระบบ เพราะขณะนี้ทั้งเศรษฐกิจจริงและภาคการเงินต่างหยุดทำงานแล้ว  

เจ้าหนี้ของ PIIGS


เมื่อดูว่าประเทศไหนปล่อยกู้ให้รัฐบาล PIIGS แล้ว จะเห็นว่า กรีซน่ะยืมเงินน้อยที่สุดในกลุ่มลูกหมู  โดยอิตาลี กู้มากถึง 8 เท่าของกรีซ

นักลงทุนจึงเชื่อว่า อิตาลี อาจเป็นรายถัดไป
                       
และในที่สุด S&P ก็ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของอิตาลีลงจากเดิม A+ เหลือ A และให้คงมุมมองเป็นลบ

อิตาลีน่าจะขายหอเอนปิซาใช้หนี้ หากไม่พอก็เอาสนามโคลอสเซียมแถมไปด้วย แต่อย่าไปแตะวาติกันนะ เพราะเขาเป็นประเทศอิสระ แถมรวยที่สุดด้วย

เป็นเรา เราจะไปถามศาสนจักรว่าช่วยชาติบ้างได้ไหมหลวงพ่อ

หรือไม่ก็ทำตามที่ น้ารูบินี ว่าไว้ คือให้นายกรัฐมนตรีอิตาลี แบร์ลุซโคนี ลาออกไปซะ รับรองว่าอะไรๆ จะดีขึ้นทันที
  
เอ้า ย้อนกลับไปวอชิงตันนิดนึง เรื่องที่เป็น Talk of the Town ตอนนี้ก็คือ รีพับลิกันกล่าวหาว่า 0_bama กำลังทำให้เกิดปัญหา Class Warfare  หมายถึง สงครามชนชั้น ในอเมริกา

อ้อ ... แล้วมันเป็นไงมาไงล่ะ ไอ้เจ้า Class Warfare  เนี่ยะ

ก็เพราะ 0_bama บอกให้คนรวยเสียภาษีในอัตราที่ไม่เอาเปรียบคนชั้นกลางที่กำลังจนลงไปทุกวันๆ ตามที่คุณลุงวอร์เรน บัฟเฟต บอกน่ะสิ แล้วรีพับลิกันเลยกล่าวหาว่า 0_bama กำลังพยายามแยกคนอเมริกันออกเป็นชนชั้นต่างกันซี่งไม่เคยมีมาก่อน

0_bama ก็เลยกระทืบคันเร่งเต็มตีน แหกปากตะโกนว่า เขาไม่ได้แบ่งชนชั้น แต่หากการทำให้คนรวยไม่เอาเปรียบคนชั้นกลางแล้วรีพับลิกันจะเรียกมันว่า Class warfare แล้วละก็ เขาจะเต็มใจที่สุดที่จะเป็นแม่ทัพนำคนไปต่อสู้ในสงครามครั้งนี้เพื่อคนชั้นกลางชาวอเมริกันทุกคน


เท่านั้นละ อำมาตย์ กับ ไพร่ ก็เกิดขึ้นในดินแดนลุงแซมทันที 555555555

วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554

เมืองไทยยามไกลบ้าน ตอนที่ 1

คุณวรวรรณ ธาราภูมิ
 CEO บลจ. บัวหลวง

27 กันยายน 2554


นั่งสับปะหงกงุบงับ อ่านข่าวเมืองไทยย้อนหลังตั้งแต่ช่วง 20 - 27 กันยายน 2554 มาทั้งวัน (แอบนอนไป 2 ชั่วโมง) ก็พบว่ามีอะไรเคลื่อนไหวเร็วขึ้นมากในบ้านเรา

ไอ้ที่ต้องมาอ่านย้อนหลังนี่ก็เพราะโน้ตบุคที่เอาไปวอชิงตันด้วยนั้น มันขัดข้องเพราะทำตก ต่อเนตไม่ได้ และปิดโทรศัพท์มือถือไปตลอดเลย หลังจากมีใครไม่รู้โทรเข้ามาขายบริการการเงินในช่วงเวลาตีสามที่วอชิงตัน

โมโหมาก เพราะนอกจากจะปลุกกลางดึกแล้ว เรายังต้องจ่ายเงินค่าโทรทางไกลให้มันด้วย ขนาดบอกแล้วว่าไม่สนใจและนี่เป็นโทรทางไกลอเมริกานะ มันยังบอกว่าไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องห่วงเพราะหนูไม่ต้องจ่าย ระบบมันจะไปเก็บเงินจากพี่ค่ะ

แม่มหาจำเริญเอ๊ยยยย .....  ขอให้มีลูกแฝดท้องเดียว 8 คน  ขอให้ขี้กลากขึ้นทั่วตัวรักษาไม่หายเถิด

ก็ดีเหมือนกัน เพราะทำให้เรามีสมาธิ มุ่งความสนใจไปที่ว่าเกิดอะไรขึ้นในต่างแดน  มีเวลาไปเดินท่อมๆ (นั่ง Wheelchair ไปท่อมๆ มากกว่า) สอบถามคนบนถนนทั่วไปได้อย่างเข้าถึงจริงๆ

เอาละ มาดูเมืองไทยกันก่อน

ข่าวที่อ่านวันนี้ย้อนหลังไปนั้น ก็เริ่มจากหุ้นไทยไปจนถึงทองคำ ที่ราคาตกกระไดรูดๆ ลงมา น้ำตานักลงทุนไหลพรากๆ โดยเฉพาะผู้ลงทุนระยะสั้นเพื่อเก็งกำไร 

แล้วก็มีเรื่องการเมืองที่รัฐบาลกำลังพยายามแก้ไขนโยบายที่ให้สัญญาใจกับประชาชนเพื่อให้ปฏิบัติได้  เรื่องฝ่ายค้านพยายามชี้ให้รัฐบาลเห็นข้อบกพร่องในนโยบายเศรษฐกิจและแนวทางกดดันต่างๆ ที่จะมีผลต่อนิติรัฐ  เรื่องกลุ่มนักวิชาการกลุ่มหนึ่งที่ออกมาราดน้ำมันลงไปบนเชื้อไม้แห้งสนิทด้วยประเด็นจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ และการล้มล้างคดีที่พิจารณาไปแล้ว เรื่องน้ำท่วม  เรื่อง “Circuit Breaker รุ่นใหม่ ตัดก่อนตาย เตือนก่อนวายวอด ที่หลายคนบ่นว่าน่าประหลาดแท้ที่มันตัดก่อนหุ้นตกไป 10% ตามกติกา

และเรื่องใกล้ตัวเองที่สุดที่อ่านไป ยิ้มไปก็คือเรื่อง สภาธุรกิจตลาดทุน ออกมาฟาดเปรี้ยงด้วยการประเมินสถานการณ์ตลาดหุ้นทั่วโลก พร้อมทั้งเสนอแนวทางแก้ไขต่อรัฐบาลอย่างกล้าหาญ อย่างที่ไม่ค่อยเห็นคนในแวดวงตลาดทุนจะกล้าออกมาทำกัน

อ่านแล้วก็ยินดีที่สภาธุรกิจตลาดทุนไทยกล้าออกมาทำหน้าที่อย่างซื่อตรง และทำได้ดีจริงๆ ในสายตาเรา (ซึ่งเราเองในฐานะรองประธานสภาฯ คนหนึ่ง แต่ติดภารกิจที่ต่างประเทศ เลยไม่ได้ไปร่วมแถลงข่าวด้วย) ส่วนข้อเสนอนั้นก็สมเหตสมผลทุกข้อ ยกเว้นข้อเดียวคือ การตั้งกองทุนคล้ายๆ วายุภักษ์ เพื่อใช้พยุงหุ้น ซึ่งอ่านแล้วน่าจะมีความผิดเพี้ยนในการสื่อความ เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรมีการพยุงหุ้นเป็นอันขาด  ก็จะไปฝืนตลาดได้อย่างไรเล่า

ดังนั้น ที่ถูกต้องน่าจะออกมาเป็น

เนื่องจากราคาหุ้นตกลงไปมากทั่วกระดาน จึงเล็งเห็นโอกาสที่ดีในการจะทยอยสะสมของดีราคาถูกที่เชื่อว่าเป็นบริษัทที่แข็งแกร่งและจะผ่านวิกฤติต่างๆ ไปได้เหมือนทุกครั้ง ซึ่งรูปแบบนั้นคือการชักชวนทุกองค์กรในสภาธุรกิจตลาดทุน ภาคธุรกิจ ภาครัฐ และประชาชนทั่วไป ที่เชื่อมั่นเหมือนพวกเราว่าประเทศไทยมีกิจการดีๆ ที่จะฝ่าฟันมรสุมไปได้เหมือนทุกครั้งที่เราเจอวิกฤติ (และทำให้เกิดคนรวยเพราะมีเงินสดเหลือไปซื้อของถูก)  เราก็มาลงขันกันตั้งกองทุนรวมขึ้นมาเลือกลงทุนในหุ้นกัน และกองทุนนี้น่าจะมีอายุสัก 5-10 ปี เวลาจบโครงการแล้วเราก็มาแบ่งกันตามส่วน  ไม่ได้มีเป้าหมายให้เป็นกองทุนพยุงหุ้น แต่มันจะเป็นกองทุนรวมที่เปิดโอกาสให้คนไทยด้วยกันลงทุนได้ โดยมีนักวิจัยที่ดีที่สุดจากโบรกเก้อร์ที่ดีที่สุดทุกสำนัก มีผู้จัดการกองทุนที่เก่งที่สุดจากทุก บลจ. มาบริหารให้เรา และรัฐบาลเองหากมีความมั่นใจในอนาคตของประเทศก็มาร่วมลงขันกัน

เอ้า หากมีกองทุนแบบนี้ เราจะจะเจียดเงินส่วนตัวไปขออนุญาตลงทุนกะเขาด้วยนะ   

และที่บอกว่าให้ทะยอยสะสมหุ้นดีราคาถูกเข้ากองทุน ก็เพราะว่าฝรั่งยังคงจะขายต่อไปอีกพัก เนื่องจากได้สัมภาษณ์ฝรั่งประเทศต่างๆ ที่มาสุมหัวกันที่วอชิงตันมาแล้ว ทั้งผู้จัดการกองทุนรวม กองทุนบำนาญ และกองทุนส่วนบุคคล ทุกคนพูดเหมือนกันหมดว่าเขากำลังลำบากจากการหาที่ลงทุน ต้องหาที่กระจายออกไปในตลาดเกิดใหม่เพราะบ้านเขามันเน่าแล้ว แต่หัวขบวนตลาดเกิดใหม่อย่างจีนก็เริ่มมีอาการ  จะไปลงทุนจีนอย่างเดียวก็เสี่ยงไป ดังนั้น ต้องกระจายเงินลงทุนไปหลายๆ ที่ แต่ช่วงระยะแรกๆ เขาจะมีอาการจิตตก ถอยออกจากทุกตลาดเพื่อกลับบ้านก่อน

อาการฝรั่งแตกทัพกลับบ้านเหมือนคนอิสานยกขบวนแห่กลับบ้านช่วงสงกรานต์นี่จะอธิบายยังไงดีหนอ

อ้อ ....  เหมือนเวลาเราไปไกลบ้าน แล้วโดนรถชน พอเราฟื้นที่โรงพยาบาลในต่างบ้านต่างเมือง แม้จะรู้ว่าน่าจะดีกว่าบ้านเรา  แต่เราจะ โหยหาความอบอุ่นของญาติมิตรที่บ้านน่ะ

เนี่ยะ ฝรั่งจะเป็นแบบนี้ คือขอกลับบ้านไปกอดคอกันสู้ก่อน แล้วหลังจากฝุ่นหายตลบ มองเห็นชัดเจนขึ้นแล้ว เขาก็จะกลับมาเหมือนทุกครั้งนั่นแหละ

และรอบนี้ก็มีผลดีต่อไทยด้วยข้อมูลที่ทางตลาดหลักทรัพย์ได้มอบให้เราไปช่วยอธิบายต่างชาตินั้น มันบ่งบอกถึงโอกาสการลงทุนในไทยที่ดีมาก ประกอบกับข้อมูลจาก บล. ทิสโก้ และทีมงานของ บลจ.บัวหลวง ที่ลำดับเรื่องราวนำเสนอได้เป็นอย่างดี ข้อมูลเหล่านี้เราได้นำมาสรุปส่งให้ผู้จัดการกองทุนต่างประเทศทางอีเมล์ไปแล้ว เมื่อเขาตั้งสติได้ แน่นอนเลย ไทยจะเป็นเป้าหมายที่เขามาหา

ก็จะให้เขาไปลงทุนอะไรในบ้านตัวเองที่ไร้อนาคตแล้วล่ะ

เอาละ แม้ทางยุโรป ทางท่านประธานาธิบดีสหรัฐผู้มีฉายานามใหม่ว่า ซีโร่บาม่า (President Zero) จะมีมาตรการออกมาพยุงหรือผลักดันเศรษฐกิจอย่างไรก็ตาม แต่ลึกๆ ในใจแล้ว เขาก็รู้ว่ามันก็แค่ซื้อเวลาเท่านั้น

ซึ่งเขาก็ต้องทำ เพราะทางเลือกอื่นหรือการยอมจำนนนั้น ไม่ใช่มาตรฐานของคนตะวันตก ไม่เหมือนคนไทยสมัยใหม่ที่ไปแข่งบอลที่กัมปูเจี๋ยอย่างชื่นมื่นทั้งๆ ที่น้ำท่วมจนคนต่างจังหวัดจะตายกันหมดแล้ว พืชผลการเกษตรก็เสียหายหนักกว่าทุกครั้งด้วย

และตัวเลขอัตราการว่างงานของไทยที่เราให้ข้อมูลฝรั่งไปว่าเป็น 0.4% กว่าๆ นั้น ทำให้ฝรั่งงง  เขาถึงกับเขียนมาถามเพิ่มเติมว่าตัวเลขถูกต้องหรือเปล่า ในเมื่อบ้านเรามีม็อบตลอดเวลา จะให้มีการว่างงานต่ำๆ ได้ไง

เราก็ตอบกลับไปแล้วว่า เอ๊า ... ฝรั่งนี่ไม่เข้าใจคนไทยเลย  ม็อบก็เป็นงานที่มีรายได้นะยะหล่อน นี่ละตัวการทำให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าอีกส่วนหนึ่งละ เหอๆๆๆ

ทีนี้คนที่ตกอกตกใจกับตลาดหุ้นทั่วโลก ตลาดหุ้นไทย และตลาดทองคำ ที่เล่นกระดานหก แต่หกลงด้านเดียวนั้น อยากจะถามว่าตกอกตกใจอะไรกันนักหนา ก็เราเคยเขียนไปหลายเรื่องหลายตอนแล้ว ว่าอย่าว่าแต่ The Great Recession  อย่าว่าแต่ Double Dip Recession และอย่าว่าแต่ The Great Depression ที่หลายคนเคยเที้ยงเถียงว่าไม่ใช่  แต่ที่จริงนั้นเราเตือนกันมาตลอด เราเล่าเหตุการณ์ของจริงบนท้องถนนที่นอกเหนือไป จากตลาดหุ้นมาตลอด พวกเราจึงควรรู้กันอยู่แล้วว่า มันจะยิ่งกว่านั้น และเราเรียกมันว่า The Great Correction ต่างหาก 

นั่นก็คือ ทุกอย่างต้องกลับคืนเข้าสู่สภาพที่เป็นจริง  ในราคาที่เป็นจริง และตามปัจจัยพื้นฐานที่เป็นจริง

แล้วเมืองไทยจะกระทบไหมล่ะ

กระทบสิ เพราะเราขายของให้ต่างชาติ

แต่เรากระทบไม่มาก  อย่างน้อยก็ไม่มากเท่า Lehman Crisis ปี 2008  ในขณะที่ตะวันตกจะเหมือนนิวเคลียร์ลงเลยละ

เพราะอะไร

ก็เพราะเรามีการกระจายการขายสินค้าออกไป ไม่ได้กระจุกอยู่ในประเทศตะวันตกเท่าเก่า ผลกระทบจึงไม่หนักเท่า  ถึงปีนี้ ปีหน้า อาจจะไม่โตมาก แค่ 4%  แต่จะ 4% หรือจะ 3% มันก็ไม่ใช่ Zero ละน่า

และด้วยบุญพา วาสนาส่ง เราเฮงจริงๆ ที่มีรัฐบาลที่มุ่งเน้นการบริโภคภายในประเทศ

ไม่รู้ว่าฟลุค หรือว่าเก่งจริงๆ ที่คิดล่วงหน้าถึงผลกระทบจากภัยเศรษฐกิจในตะวันตก แต่รัฐบาลก็เจ๋งละว้า

หรือว่าใครจะเถียงว่าฟลุก เราก็จะบอกว่างั้นยกให้พระสยามเทวาธิราชก็แล้วกัน

ท่านทำหน้าที่มา 2 ครั้งแล้ว  ครั้งแรกคือไปดลบันดาลให้บ้านเมืองสะดุดหยุดชะงักจากพิษต้มยำกุ้งปี 2540 จนคนตกงานต้องไปเปิด (บั้น) ท้ายขายของ ทำให้เรามีบทเรียนอันมีค่ายิ่งในภาคสถาบันการเงิน และเกิดความแหยง ความระมัดระวัง  ไม่ขยายกิจการด้วยความโลภจนเกินตัว ไม่ปล่อยสินเชื่อมั่วๆ  

ครั้งที่สองท่านก็ไปดลบันดาลให้เกิดกีฬาสี จนทำให้ต้องขออภัยในความไม่สะดวก ทำให้ภาคธุรกิจไม่ได้กู้เงินไปขยายธุรกิจและโครงการต่างๆ มากเกินควรแล้วมาเจอพิษเศรษฐกิจตะวันตกอย่างวันนี้ 

มันเป็นอภินิหารไง วันนี้เราถึงยังอยู่ดี กินอร่อย

นโยบายบริโภคภายในประเทศของรัฐบาลนี่ละ ที่จะช่วยพยุงบ้านเราไม่ให้ตกต่ำอย่างประเทศในตะวันตกในรอบนี้  

ก็ขนาดท่านผู้ว่าแบงค์ชาติของเรา ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งเป็นผู้ว่าการธนาคารกลางแห่งเอเชียประจำปี 54 (Central Bank Governor of the Year for Asia 2011)  จากนิตยสาร Emerging Markets ในเครือ Euromoney Group โดยเหตุผลที่มอบรางวัลก็เพราะว่า ธปท. ดำเนินนโยบายการเงินในเชิงรุกเพื่อดูแลเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่อง สร้างความมั่นใจให้ทั้งภาคธุรกิจและนักลงทุนทั้งในและนอกประเทศทำให้เกิดเสถียรภาพของเศรษฐกิจภายใต้สถานการณ์ทางการเมืองไทยที่มีความไม่แน่นอน         ปลื้มใจแทนคนไทยทุกคนที่สถาบันหลักอย่างแบงค์ชาติของเราได้รับการชื่นชมยกย่องในเกียรติภูมิครั้งนี้

ฝรั่งในงานที่แอบมาเม้าท์กันบอกว่า แบงค์ชาติของไทยยอดเยี่ยมมาก สามารถฝ่าฟันความกดดันจากรัฐบาลมาได้ทุกสมัย เป็นอิสระจากการเมืองอย่างแท้จริง  คนต่างประเทศให้ความเชื่อมั่นมากเลย และบอกด้วยว่า ธปท ทำหน้าที่ได้ยอดเยี่ยมมายาวนานแล้วด้วย

เขาจัดงานทั้งประชุม IMF  World Bank และงานมองรางวัลในโรงแรมที่เราพักอยู่นี่แหละ

แถมมีรูปกับคำสัมภาษณ์ของท่านลงหราใน Emerging Markets วันที่ 25 กันยายน หน้า 6 ด้วย โดยโปรยหัวข่าวที่ Chris Wright เขียนว่า Asian central banks switch focus to growth

นั่นไง เห็นไหมว่ามันสื่อถึงอะไร

ในเนื้อข่าวนั้น ดร.ประสาร บอกว่าเราดำเนินนโยบายได้ถูกต้องเหมาะแก่กาลเวลาที่ผ่านมาแล้ว และเราคิดว่าการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลกจะทำให้อัตราเงินเฟ้อของไทยถูกกดดันน้อยลง และจะดำเนินนโยบายต่อจากนี้ไปโดยมุ่งไปที่การให้เกิดสมดุลของการเติบโต (จากเดิมที่มุ่งเน้นเรื่องคลายแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น) นอกจากนี้ ท่านยังได้กล่าวว่ารัฐบาลใหม่ของเราที่ได้รับเสียงเลือกตั้งอย่างท่วมท้นก็ได้รับความเชื่อมั่นจากต่างชาติด้วย ซึ่งเป็นเรื่องดีมากกว่าการมีเสียงก้ำกึ่งกัน (หมายถึงจะมีความมั่นคงของรัฐบาล)

ฝรั่งบอกว่าท่านให้คำสัมภาษณ์ที่ดีมาก รัดกุม และไม่มองโลกแง่ดีไป ไม่มองในแง่ร้ายไป และมีความยืดหยุ่นต่อสถานการณ์ต่างๆ ดีพอ สมกับตำแหน่งผู้ว่า ธปท. แล้ว

คราวต่อไปจะเล่าเรื่องทองคำ กับ Class warf

วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554

เมื่อลูกหมูน้อย จะถูกลอยแพ


คุณวรวรรณ ธาราภูมิ
 CEO บลจ. บัวหลวง

19 กันยายน 2554


Nouriel Roubini  ผู้มีฉายาว่า Dr. Doom หรือ ดร.มหาโลกาวินาศ ให้สัมภาษณ์ล่าสุดเมื่อวานนี้ว่าหมดหวังเรื่องลูกหมูกรีซแล้ว มันถึงเวลาที่เจ้าหมูน้อยจอมซ่าต้องโยนผ้าขาวรับสภาพผิดนัดชำระหนี้ ไม่เบี้ยว ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย ได้แล้ว แล้วก็ถึงเวลาที่ต้องเชิญออกไปจากบ้านใหญ่หลังนี้ที่ชื่อว่า EU เสียด้วย

แน่ละ ที่วันหนึ่งพวกพี่ๆ เขาต้องถึงขีดจำกัดความอดทนที่จะอุ้มหมูน้อยเข้ากะเอว ครอบครัวของพวกพี่ๆ ใน EU เขาไม่ยอมทนกับการสุรุ่ยสุร่ายแต่ขี้เกียจทำงานของพวกแกเต็มทนแล้วนะ ไอ้หมูจอมขี้เกียจ ไม่มีใครช่วยอุ้มแกแล้ว สมน้ำหน้า  คนอื่นเขาทำงานหนักกว่าจะมั่งมีขึ้นมาได้ แล้วเรื่องอะไรที่แกจะแบมือขอเงินอย่างเดียว แบบนี้ทำนาบนหลังคนนี่หว่า

น้ารู (บินี) บอกว่าหากกรีซยังคงห้อยโหนถ่วงตุ้ม EU ปัญหาของเจ้าลูกหมูตัวนี้ก็จะตามมาหลอกหลอนอีกเป็นระยะๆ แล้วจะทำให้ EU ทั้งกลุ่มเจอกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ (Depression)  กับภาวะเงินฝืด (Deflation)  ไปเป็นหลายๆ ปี  ซึ่งต่อให้ปรับโครงสร้างหนี้ ลดหนี้ ฯลฯ ยังไง กรีซก็ไม่รอดแล้ว เพราะกรีซไม่สามารถแข่งขันกับใครได้ภายในกลุ่ม EU และเศรษฐกิจกรีซก็จะไม่สามารถโตได้เลย เพราะแข่งกับคนอื่นไม่ไหว  ดังนั้น ทางเดียวที่จะทำได้ก็คือทำให้ค่าเงินอ่อนลง ซึ่งทำไม่ได้หากยังอยู่ในกลุ่ม EU

ใช่สิ  เพราะการอยู่ในระบบ EU ด้วยกัน ใช้เงินสกุลเดียวกันในขณะที่ตัวเองอ่อนแอกว่าคนอื่นเขา มันก็เหมือนจับคนขาพิการไปวิ่งบนสายพานนั่นแหละ  ไปไม่ไหว

หากไม่ได้ใช้สกุลเงินเดียวกันแล้ว กรีกยังลดค่าเงินตัวเองเหมือนที่ไทยเคยทำได้ในช่วงต้มยำกุ้ง ทำให้ข้าวของของเราขายได้ในราคาถูกลงเนื่องจากลดค่าเงิน  ซึ่งของไทยนั้น ทำไปไม่นานก็ฟื้นขึ้นมาได้อย่างน่าชื่นชมในความฮึดสู้ของนักธุรกิจไทยทั้งหลาย  ช่างน่าอัศจรรย์ใจจริงๆ

นี่ละ ที่เขาว่า นักธุรกิจสร้างชาติ ในขณะที่นักการเมือง ....... ชาติ (เติมกันเองตามอัธยาศัยนะคะ ..... ฮี้วววววว)

ความจริงไอ้การชักดาบเนี่ยะ รัฐบาลบางประเทศก็ทำกันมาหลายครั้งแล้วในอดีต ไม่ว่าจะกรีซ สเปน หรืออาร์เจนตินา ฯลฯ  เขาเรียกกันว่า Debt Moratorium ซึ่งแปลว่า เลื่อนชำระหนี้

ภาษาชาวบ้านเราเรียกว่า ผลัดหนี้ นั่นแหละ

นึกถึงนิยายไทยๆ ที่ชอบพล็อตเรื่องว่า พ่อแม่เป็นสิงห์พนันตัวยง มีหนี้พนันท่วมหัว ต้องเอาลูกสาวไปใช้หนี้มาเฟียเจ้าของบ่อน แล้วก็ต้องมีการข่มขืนกัน ทั้งๆ ที่พระเอกแสนหล่อ

เรื่องแบบนี้มันเป็นไปไม่ได้ เพราะหากหล่อขนาดที่บรรยาย  ลูกหนี้น่าจะข่มขืนเจ้าหนี้มากกว่า

มีคนถามว่าทำไมกรีซไม่เอาวิหารพาธินอนไปขายใช้หนี้ล่ะ 

อืม ... เข้าใจคิด  คงคล้ายๆ เทศบาลท้องถิ่นในอเมริกาเอาสัมปทานที่จอดรถแบบหยอดเหรียญไปขายให้พวก Wall Street กับ พวกเศรษฐีตะวันออกกลางเพื่อหาเงินเข้าเทศบาลนั่นแหละ

เป็นแนวคิดที่ดีทีเดียว เอาสมบัติที่มีไปขายซะ เพราะหากไม่ทำก็ไม่มีวันฟื้น

จะขายหรือให้เช่าวิหารต่างๆ  ขายกิจการรัฐวิสาหกิจ โรงไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ ฯลฯ  ขายให้หมดจนหมดหนี้ เลย  ใช้วิธีให้เช่าสัมปทานระยะยาวก็ได้

ยังไงๆ ก็ดีกว่าจมหนี้ตาย

น้ารู (บินี) แนะนำให้กรีซประกาศหยุดชำระหนี้คืนชั่วคราว ทันที  แล้วออกจาก EU ไปซะ เพื่อไม่ต้องตายยกเข่งอียู

แน่ละ จะต้องเกิดการแตกตื่นกันครั้งใหญ่ในระบบการเงิน ทุกคนจะแห่แหนกันไปถอนเงินออกจากกองทุน ออกจากธนาคาร และออกจากทุกอย่างที่มีกับกรีซ ซึ่งนั่นก็เป็นปฏิกิริยาของคนที่ต้องเอาตัวรอดในยามไฟไหม้ และน่าจะเกิดไม่เฉพาะที่กรีซเท่านั้น  

แน่นอน อาการนี้มันจะลุกลามไปทั่ว

แต่จะลามมาก ลามน้อย ขึ้นอยู่กับความมั่นใจของคนที่มีต่อประเทศนั้นๆ 
มาดูตารางนี้กัน มันแสดงตัวอย่างของธนาคารในยุโรปที่มีการปล่อยกู้และซื้อพันธบัตรกลุ่มลูกหมู (PIISG .. Protugal, Italy, Ireland, Greece และ Spain) โดยเปอร์เซ็นต์ที่แสดงนั้นเขาเอาตัวเลขยอดหนี้กลุ่ม PIIGS ที่แต่ละธนาคารมีอยู่ เอามาหารด้วยทุนของธนาคารนั้น

Europe Banks' PIOGS Exposure

Source: EBA Stress Tests

Banks
% Exposure to Common Equity
Royal Bank of Scotland Group (UK)
175%
Landesbank Berlin (Germany)
179%
Barclays (UK)
189%
Landesbank Baden-Württemberg (Germany)
230%
DZ Bank (Germany)
239%
KBC Bank (Belgium)
247%
Credit Agricole (France)
293%
Deutsche Bank (Germany)
327%
BNP Paribas (France)
358%
Commerzbank (Germany)
462%
Dexia (Belgium)
552%
Banco Santander (Spain)
953%
Unicredit (Italy)
1070%
Bank of Ireland (Ireland)
1385%
BBVA (Spain)
1566%
EFG Eurobank Ergasias (Greece)
1601%
Intesa Sanpaolo Group (Italy)
1638%
Banco Popular Español (Spain)
1927%
Banca MPS (Italy)
4666%
Allied Irish Banks (Ireland)
33352%

ตัวอย่างเช่น Credit Agricole (France) มีสัดส่วนถึง 293% แปลว่าธนาคารปล่อยกู้ให้กลุ่ม PIIGS ไป 293 ยูโร ในขณะที่มีทุน 100 ยูโร แสดงว่าส่วนของผู้ถือหุ้นทั้งหมดรองรับหนี้กลุ่ม PIGGS ที่ปล่อยกู้ไม่ครบ หากหนี้พวกนี้เกิดชักดาบขึ้นมาละก็

..... แถ่น แทน แท้น ..... บุ๋ง บุ๋ง ....  จ๋อม  ....  (คิดอะไรอยู่ ....  รู้นะ)

ถึงจะเพิ่มทุน ใครหน้าไหนจะกล้าเอาเงินไปใส่ตอนนี้ นอกจากรัฐบาลเอาเงินภาษีประชาชนไปอุ้มตามสูตรสำเร็จที่แหกคอกทุนนิยมเสรี ซึ่งเป็นการบิดเบือนกลไกตลาดแบบทุนนิยม

ดังนั้น ทั้งกรีซ ยูโร และทุกประเทศที่เกี่ยวข้องกับ PIGGS และธนาคารในตาราง ต้องมีมาตรการป้องกันคนฝากเงินแห่กันถอนเงิน ไม่อย่างนั้นจะพินาศทั้งระบบเลย

ตัวอย่างมาตรการในอดีตของประเทศที่มีการชักดาบก็คือ อาร์เจนตินา

อย่างเท่ห์เลย อาร์เจนตินา ใช้วิธี Freeze เงินฝาก ไม่ให้ใครถอนออก !!!!

แล้วยังเพิ่มโปรโมชั่นนาทีทองด้วยมาตรการ Capital Control นั่นก็คือควบคุมการนำเงินหรืออื่นๆ เช่น ทองคำ ออกนอกประเทศอีกด้วย  นี่คือตัวอย่างของคำว่า บูรณาการ

ใช่แล้ว ผลกระทบของมาตรการชักดาบของ อาร์เจนตินา ทำให้เกิดระส่ำระส่ายไปทั้งระบบ แต่เงินไม่ไหลออกไปไหน โดนแช่แข็งอยู่ในธนาคารและในประเทศ

แม้ว่าราคาสินทรัพย์กับหลักประกันต่างๆ จะลดลงฮวบฮาบ ความเสียหายจะเกิดขึ้นไปทั่ว แต่สถานการณ์ต่างๆ ยังควบคุมได้ และสามารถจำกัดวงความเสียหาย

แล้วพระเอกเจ้าเก่า บทเก่าๆ ก็จะเข้ามาเป็นซุปเปอร์แมน นั่นก็คือ รัฐและธนาคารกลางก็เข้าไปเพิ่มทุนโดยเอาเงินซื้อหุ้นของธนาคารเหล่านั้น

แม้ว่าการใส่เงินเข้าไปช่วยอุ้มแบงค์เป็นการเพิ่มหนี้สาธารณะหรือหนี้ภาครัฐของประเทศเข้าไปอีก แต่แนวคิดแบบนี้มักได้รับการสนับสนุนถ้าหากว่าการยอมโยนผ้าขาวไม่จ่ายคืนหนี้ชั่วคราวนั้นทำให้เจ้าหนี้ยอมลดหนี้ให้มากๆ

ผู้สนับสนุนมองว่าลดหนี้แล้วทำให้ลูกหนี้มีจ่าย ย่อมเหมือนกับ กำขี้ย่อมดีกว่ากำตด นั่นแล  เพราะการมีกากๆ ในมือ ย่อมดีกว่ามีแต่อากาศ  แม้จะเหม็นพอกันก็เหอะ

แต่มองที่ตารางข้างต้นอีกที ก็เสียวๆ ว่าประเทศอื่นๆ ในกลุ่มยูโร จะกล้าปล่อยให้กรีซโยนผ้าขาวไหม

และเมื่อวันก่อน น้ารู (บินี) ก็ออกมาประกาศเสียงแจ้วๆ ว่า

“(ขอแสดงความยินดีด้วย ชาวอเมริกันที่รัก) เรากำลังเข้าสู่ Recession แล้ว ไม่เชื่อก็ดูตัวเลขจ้างงานในเดือนสิงหาคมนี้สิ มันเป็น 0 ไม่มีเพิ่มเลย  ยอดขายปลีกก็เป็น 0 ไม่ขยายสักนิด  และเชื่อได้เลยว่าเดือนกันยายนนี้ก็จะแย่ยิ่งกว่าเดิม

อาการเศรษฐกิจสหรัฐช่างสมฉายานามของทั่นประธานาธิบดีจริง ที่เขาเรียกว่า President Zero น่ะ
ฮ่าๆๆๆๆ  Zer_0_Bama

ใครจะตื่นเต้นตกใจก็ว่ากันไป เพราะพวกเรารู้มานานแล้วว่ามันจะเป็นเช่นนี้ จริงไหม

นอกจากนี้ น้ารู (บินี) ยังบอกด้วยว่า อย่าถามว่าจะเกิด Recession อีกครั้งหรือเปล่า ให้ถามว่า Recession รอบใหม่นี้ เราจะตกบ่วงถลำลึกขนาดไหน น่าจะเหมาะกว่า ซึ่งคำตอบของน้ารู (บินี) ก็คือ มันอยู่ที่นโยบายรัฐ กับสถานการณ์วิกฤติในยูโร

ก็ขอเอาใจช่วยให้ทุกคนในฝั่งตะวันตกรอดพ้นจากทอร์นาโดทางเศรษฐกิจกัน

ส่วนคนไทยอย่างเราก็ควรเอาเป็นตัวอย่างไว้ ทั้งเรื่องการรวมกลุ่ม EU ที่มีข้อเสียมากมาย ไม่น้อยกว่าข้อดี

และจงระวังไว้ว่าการเอาแบบอย่างพวกตะวันตกโดยไม่ยอมใช้หัวคิดตนเองนั้น อาจนำพาความล่มจมมาสู่ประเทศชาติได้เหมือนกัน