ค้นหาบล็อกนี้

วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ทำไมน้องไม่แต่งงาน

คุณวรวรรณ ธาราภูมิ
 CEO บลจ. บัวหลวง

22 ธันวาคม 2554


คนไทยชักจะมีพฤติกรรมคล้ายคนชาติอื่นๆ เข้าไปทุกทีในเรื่องทัศนคติเกี่ยวกับการมีคู่

คือชอบ เป็นคี่ มากกว่า เป็นคู่ ไปซะแล้ว เพราะคนเริ่มกลัวการแต่งงานกันมากขึ้น พวกผู้ชายเขาถึงกับบ่นว่า คำว่า แต่งงานเป็นศัพท์ที่บัญญัติโดยสตรีล้วนๆ  โดยปราศจากการยินยอมพร้อมใจของพวกผู้ชาย

สำหรับคู่แต่งงานนั้น คนอเมริกันมีสถิติว่าหย่าร้างสูงถึง 50%  ส่วนสถิติของคนไทย สารภาพตรงๆ เลยว่าไม่รู้ว่าจะไปหาดูสถิติได้ที่ไหน น่าอายชะมัด

หลายคนบอกว่าปัญหาที่ต้องหย่าร้าง มันเกิดในห้องนอน หลายคู่ก็เป็นเพราะเบื่อขี้หน้ากัน

บางคนก็บ่นว่าทำไมเมียเราแก่เร็ว อ้วนเร็วยิ่งกว่าเมียเพื่อน สงสัยเราลืมดูวันหมดอายุก่อนแต่งแหงเลย

หนอยแน่ อีตาหัวล้าน พุงพลุ้ย นอนก็กรน ชอบนินทาเมียโดยไม่ได้มองตัวเองเล้ย   

แต่ที่จริงแล้วปัญหาที่เกิดจากการเงินของครอบครัวกลับเป็นสาเหตุหลักมากกว่าเรื่องอื่น  

คู่สมรสจำนวนมากหย่าร้างกันเพราะปัญหาทางการเงินมากกว่าเรื่องไม่ซื่อสัตย์ต่อคู่ของตน และโดยพื้นฐานแล้ว การแต่งงานต้องเกิดจากความเชื่อมั่นไว้วางใจกันและกัน ประมาณว่าเธอเป็นครึ่งหนึ่งของชีวิต (บางคนอาจรำพึงตอนนี้ว่า ครึ่งของชีวิตที่ดี หรือ ครึ่งชีวิตที่บัดซบ กันแน่ว้าฮ่าๆๆๆๆ)

เมื่อใดที่เราละเมิดในเรื่องความซื่อสัตย์ต่อกัน เมื่อนั้นก็มีเรื่อง มันจะทำลายความสัมพันธ์ของคู่ชีวิต เพราะการแต่งงานก็เหมือนการรวม 2 กิจการเข้าด้วยกัน

มันอาจจะฟังดูไม่โรแมนติกเอาเสียเลยที่ไปบอกว่าการแต่งงานเหมือนการรวมกิจการ แทนที่จะใช้คำพูดหลอกเด็กว่า แล้วเจ้าชายกับเจ้าหญิงก็แต่งงานกัน  มีชีวิตที่เป็นสุขไปชั่วนิจนิรันดร์

อืม ... นิจนิรันดร์ ... ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ  

คำเตือน :  การแต่งงานมีความเสี่ยง ห้ามมีคู่เกินครั้งละ1 คน ชีวิตสมรสในอดีตไม่ได้รับประกันความสงบสุขในอนาคต  จงอ่านคำเตือนก่อนจดทะเบียน

ก็อยากจะเตือนๆ กันว่า ก้าวแรกก่อนจะคิดถึงการตัดเค้กฉลองแต่งงานที่หมดเปลืองและรสชาติห่วยแตกเป็นส่วนใหญ่ ขอแนะนำว่าต้องคุยกันเรื่องเงินกันตรงๆ ก่อน ห้ามขี้ตั๊วะ ห้ามขี้จุ๊  และห้ามขี้ฮก

1.       ทุกๆ อย่างที่เป็นของผม จะเป็นของคุณเมื่อเราแต่งงานกันแล้ว

            หูย ... หวานหมูละสิ  แต่ระวังให้ดีเหอะ เพราะทุกอย่างที่เขามีมันอาจเป็นหนี้สินก็ได้ และหากแย่กว่านั้น เราอาจได้หนี้สินในขณะที่เขาเอาทรัพย์สินกับทุนไปทั้งหมด

2.       ภาระหนี้สินก่อนแต่งน่ะเหรอ ไม่มี้ ไม่มี

            ระวังให้ดี เราต้องซื่อสัตย์ต่อกัน หากมีภาระหนี้สินต้องบอกกันด้วย บางคนเถียงว่าขืนบอกก็อดแต่งน่ะสิ 

            อ้าว ... แล้วไม่กลัวแต่งกันสามวันหย่าเหรอ

            ต้องระวังหนี้สินที่อาจเกิดจากงานช้างในวันสมรสด้วย ทำอะไรให้พอดีตัวสมฐานะ จะดีกว่างานวันเดียวที่ทำให้เหนื่อยแทบขาดไปกับการเตรียมการนั้น แล้วมันคุ้มกันไหมที่ต้องไปหน้าดำคร่ำเครียดกับการใช้หนี้หลังแต่ง ในเมื่อความอลังการของงานสมรสไม่ได้เป็นหลักประกันต่อความสุขของชีวิตคู่

3.       บ้าน รถ ลูก บุคคลที่เราต้องดูแล

            สามเรื่องนี้ ต้องตกลงกันให้รู้เรื่องก่อนแต่งว่าจะเอาอย่างไรดี

            หากไม่ได้โชคดีมีมรดกหรือไม่มีพ่อแม่มาหาให้ก็ควรเริ่มอย่างพอตัว อย่าทนทรมานอดอยาก อย่าดำรงชีวิตอย่างกระจอกงอกง่อยเพราะต้องผ่อนส่งจำนวนมากจนเสียสติ จนสุขภาพกายทรุดโทรม  สุขภาพจิตย่ำแย่เครียดจนหาความสุขไม่ได้ มันไม่คุ้ม และชีวิตสมรสจะไม่ยั่งยืน

            เรื่องลูกก็ต้องวางแผนว่าจะมีหรือไม่มี หากมี จะมีเมื่อไหร่ มีกี่คนถึงจะสะใจ เอาเท่าเต็กกอจะพอไหม และใครจะเลี้ยง

            หากมีพ่อ แม่ ญาติ หรือใครที่เราต้องดูแลก็ต้องคุยกันให้เข้าใจและยอมรับกันก่อนแต่ง จะได้ไม่เกิดอาการ Love me kick my dog และจะได้ไม่ต้องหาแผนกำจัดพ่อตา แม่ผัว ที่สำคัญก็คือ ในช่วงแต่งงานกันใหม่ๆ ควรใช้เวลาอยู่กันสองคนก่อนสักพัก 1-2 ปี เพื่อให้เรียนรู้ชีวิตครอบครัวกับปรับชีวิตจนลงตัวกันโดยไม่มีปัจจัยอื่นมาแทรก

            เรียกว่าทะเลาะกันสองคนจนเข้าใจ  ก่อนจะหาใครมาทะเลาะด้วยเพิ่ม โดยเฉพาะคนที่มีแม่ยายปากจัด หรือที่มีแม่ผัวจอมโหด

            อย่าลืมเป็นอันขาดว่าเราทั้ง 2 คน ต้องเตรียมแผนการเงินและแผนการดำเนินชีวิตไว้พร้อมสำหรับลูก บ้าน รถ และคนที่เราดูแล หากลองทำแล้วไม่ลงตัว เห็นแต่หายนะ ก็อย่าเดินหน้าเลย

4.       ผมให้เงินเดือนคุณหมดเลยนะ  

            ปลื้มไหมล่ะ กรี๊ดดดดด ....

            ระวังให้ดี บางคนที่ทำแบบนี้ เขาจะขอบัตรเอทีเอ็มไป สมมติเงินเดือนเขา 3 หมื่นบาทแล้วเอามาให้เรา    หมดเลย  เราก็เอาไปคุยอวดเพื่อนๆ ให้มันอิจฉาวาสนาเราใช่ไหมล่ะ  แต่เราเผลอเอาบัตรเอทีเอ็ม    บัญชีร่วมไปให้เขาใช้  แถมด้วยบัตรเครดิตที่เราต้องจ่ายให้เขา เพราะเขาให้เราเป็นคนจัดการเงินทอง                   
            เราอาจสลบเหมือดเมื่อพบว่าไม่เหลือเงินในบัญชี และหนี้บัตรเครดิตที่พ่อทูนหัวแม่ทูนเกล้าของเรา         ละเลงไว้ให้เราดูต่างหน้าก็สูงกว่าเงินเดือน 3 หมื่นบาทของเขาเสมอ

          ชีวิตคู่ที่ดีนั้น ต้องไม่ให้ใครคนใดคนหนึ่งจัดการเงินทองไปเพียงลำพัง ต้องทำบัญชีรายรับ รายจ่าย และแผนการเงินร่วมกัน แล้วแบ่งส่วนเป็นของแต่ละคนที่จะใช้จ่ายได้เสรี แบ่งส่วนรวมในครอบครัว กับแบ่งส่วนสะสมเพื่ออนาคต

5.       ฉันจะใช้สอยอย่างประหยัดค่ะ

            ผู้หญิงหลายคนตกเป็นทาสของการ Shopping เข้าขั้นบ้าคลั่ง  ในช่วงก่อนแต่ง หรือแต่งงานกันใหม่ๆ จะบอกว่า ที่รักชั้นจะประหยัดเงินเพื่ออนาคตที่ดีของเรานะคร้า  แต่อยู่ๆ ไป ทำไมมีกระเป๋าถือถึง 30 ใบ มีรองเท้าตั้ง 50 คู่ ก็ไม่รู้  หนูไม่รู้ เอาไม่อยู่คร้า ...

            การสุรุ่ยสุร่ายเป็นบ่อเกิดของความยากจน หากคู่ของเราทำตนเป็นไอคอนแห่งแฟชั่น เราก็โชคร้าย ยกเว้นเราเป็นเศรษฐีจริงๆ และเต็มใจที่จะให้คู่สมรสใช้เงินของเราไปซื้อความสุข  มิฉะนั้น คงอยู่กันไม่ยืด

สรุป

ในเชิงธุรกิจนั้น ก่อนจะรวมกิจการกัน.เราต้องรู้มูลค่าของกิจการทั้งสองแห่งก่อน

ในเมื่อเราจะไม่ไปรวมบริษัทของเรากับใครโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ  ทำไมเราถึงได้ผลีผลามแต่งงานเพียงเพราะกำลังรัก กำลังหลง หรือกลัวคานจนขึ้นสมอง

จุดเริ่มต้นของชีวิตสมรสที่มีความสุขคือการเปิดใจคุยกันเรื่องแผนชีวิต และแผนการเงินกันให้ลงตัวเสียก่อน  แล้วจึงตัดสินใจว่าจะแต่งงานกันดีไหม

หากศึกษากันแล้วพบว่าไม่น่าจะไปกันได้รอด ก็ขอแนะนำว่า แม้นแผ่นดินสิ้นชายที่พึงเชย ไปมีคู่เป็นกระเทยยังดีกว่า

การเทรดหุ้นกับการเล่นโป๊กเกอร์

คุณวรวรรณ ธาราภูมิ / คุณเจฟ สุธีโสภณ

CEO บลจ. บัวหลวง

22 ธันวาคม 2554

 

บางคนอาจทราบมาบ้างแล้วว่า บลจ.บัวหลวง ให้ความสำคัญกับการคัดเลือกหุ้นโดยใช้นโยบาย Bottom Up และใช้กลยุทธ์ Good stocks + Good trades = Good performance


Bottom Up หมายถึงเราจะลงทุนโดยไม่ยึดติดกับการจัดสรรน้ำหนักด้วย Sector หรือกลุ่มอุตสาหกรรมแล้วค่อยลงไปหาหุ้นแบบบนลงล่างหรือ Top Down แต่จะเน้นหนักเรื่องการคัดเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีและคาดว่าจะผ่านวงจรเศรษฐกิจต่างๆ ได้โดยไม่บอบช้ำ โดยเราจะศึกษาเชิงลึกจากโครงสร้างและโมเดลการทำธุรกิจ สถานะการเงิน และการจัดการของทีมผู้บริหาร รวมทั้งการมีธรรมาภิบาลที่ดีของบริษัทต่างๆ ซึ่งบริษัทที่ผ่านเกณฑ์มาได้จะเป็นบริษัทที่เรามั่นใจ ทั้งยังสามารถคาดการณ์กำไรได้ และให้เงินปันผลที่น่าพอใจอีกด้วย

เรียกว่าถึงราคาหุ้นในตลาดอาจจะซวดเซเพราะโดนกระทบจากเศรษฐกิจโดยรวมจากภัยธรรมชาติที่ เอาไม่อยู่หรือจากการยึดบ้านยึดเมือง แต่หุ้นเหล่านี้ก็สามารถให้ปันผลที่ดี และราคาหุ้นในตลาดก็ยังฟื้นตัวได้ดีเมื่อสถานการณ์ต่างๆ คลี่คลายลง

เมื่อคัดเลือกหุ้นได้แล้วก็เท่ากับเราได้ Good Stocks มาไว้ในตะกร้าหุ้นที่เราจะลงทุนได้ แล้วเราก็จะมาถึงขั้นตอน Good Trade ซึ่งก็คือการเลือกเข้าซื้อหุ้นในตะกร้าเมื่อมันมีราคาถูกกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นตามปัจจัยพื้นฐาน หรือขายออกไปเมื่อเราได้ผลตอบแทนตามเป้าหมาย หรือเมื่อหุ้นมีราคาตลาดเต็มมูลค่าที่เราคาดการณ์ หรือเมื่อเรารู้ว่ามันไม่น่าลงทุนอีกแล้ว (เออ ... พลาดก็มีเหมือนกัน แต่ต้องพลาดน้อย)

ซึ่งหากทำได้ดีเราก็จะมี Good performance

ในการทำ Good Trade นั้น  อารมณ์กับการลงทุนนั้นเป็นสิ่งที่ควบคู่กัน โดยผู้ที่ควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่าย่อมได้เปรียบ  

Good Trade ก็คล้ายๆ กับการแข่งขัน Poker Tournament  เพราะจะประกอบด้วยผู้แข่งหลายประเภท หลายสไตล์การเล่น แต่เหมือนกันตรงที่ต่างจ้องจะโกยเงินหรือ chip บนโต๊ะ  แต่ละคนต้องอ่านใจคู่แข่ง หลอกล่อ ทำหน้านิ่งให้อ่านไม่ออก หรือแกล้งลุกลี้ลุกลนเพื่อหลอกคู่แข่ง ซึ่งต้องคาดเดาสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา

สิ่งเหล่านี้ไม่ต่างอะไรจากการลงทุนและซื้อขายหุ้น

ที่สำคัญก็คือทักษะที่จอมยุทธ์เกาจิ้งใช้ในวงการโป๊กเกอร์ ก็เป็นทักษะที่ใช้กันในตลาดหุ้น ปัจจัยทางด้านอารมณ์ที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อขายหุ้นและการเล่นโป๊กเกอร์มันเหมือนกันเปี๊ยบ เพราะอารมณ์หลัก 3 อย่างที่ ผู้จัดการกองทุน Trader และผู้เล่นโป๊กเกอร์ ต้องเผชิญคือ ความโลภ ความกลัว และความหวัง

ความโลภ 
       
เป็นหนึ่งในอารมณ์พื้นฐานที่มีกำลังขับเคลื่อนการตัดสินใจของมนุษย์มากที่สุด ความโลภอาจทำให้ผู้เล่น โป๊กเกอร์หน้ามืด แล้วไปจดจ่อกำไรที่จะได้รับโดยไม่คำนวณโอกาสที่จะแพ้ ซึ่งก็เช่นเดียวกับนักลงทุนที่โลภจนมองไม่เห็นข้อด้อยของหุ้นตัวนั้น

วิธีที่จะเอาชนะความโลภได้ คือแทนที่จะคิดถึงความสุขจากกำไรก้อนนั้น ก็ให้คิดว่าอะไรจะทำให้คุณไม่ชนะ และนี้คือเหตุผลว่าทำไมผู้แข่ง Poker ชั้นยอดถึงยอมหมอบทั้งที่มีไพ่ดี ซึ่งก็เพราะเขาคาดได้ว่าคู่แข่งมีไพ่ดีกว่าเขา เป็นต้น

อีกตัวอย่างของความโลภก็คือ เวลาไพ่คุณดี ก่อนจะเรียกใบต่อไป คุณโลภมากจนใส่เงินไปจนท่วมกอง เพราะอยากให้มีคนใส่ตาม คุณจะได้มีโอกาสกินเงินมากขึ้น นั่นก็ทำให้คู่แข่งของคุณอ่านได้ว่าคุณกำลังโลภเพราะมีไพ่ดี แต่มืออ่อนไปหน่อยที่ทำให้เขาอ่านเราออก เขาเลยหมอบไป ทำให้คุณได้เงินนิดเดียว แต่กรณีนี้ก็มียกเว้นหากคุณไพ่ไม่ดี แล้วมีมาดแบบเกาจิ้ง ลักไก่ ไล่คู่แข่งให้หมอบหนีไปได้ทั้งๆ ที่ไพ่คนอื่นเขาดีกว่า

กรณีนี้ก็คล้ายๆ เวลาเทรดเดอร์จะซื้อหรือขายหุ้น เขาจะไม่ให้คนอื่นๆ อ่านออกว่าเขาต้องการซื้อมากเพียงไหน หรือต้องการขายใจจะขาดเพียงใด  ไม่งั้นจะซื้อได้แพง และขายได้ถูกกว่าที่ควรจะเป็น เขาจึงไม่ใส่จำนวนหุ้นและราคาที่ต้องการจะ Bid หรือ Offer ในลักษณะที่ทำให้คนอื่นอ่านออก
 
ความกลัว
     
เป็นอีกหนึ่งอารมณ์พื้นฐานของมนุษย์ และแต่ละคนก็มีระดับความกลัวที่ต่างกัน โดยสะท้อนมายังการรับความเสี่ยงได้ไม่เท่ากัน

ความกลัวอาจเกิดจากประสบการณ์ไม่ดีในอดีต เช่น หลังจากวิกฤตเศรษฐกิจเราจะเห็นนักลงทุนหลายคนถือเงินสดแม้ว่าตลาดหุ้นจะมีราคาถูกมากๆ ความกลัวจึงอาจทำให้คุณพลาดโอกาสดีๆ ได้

เวลาเล่นโป๊กเกอร์ ถึงแม้คุณจะมีไพ่ดีอยู่ในมือ แต่ถ้าคู่แข่งคุณเกทับบลัฟแหลกด้วยเงินเยอะๆ  คุณก็อาจกลัวจนต้องหมอบไป ทำให้เสียโอกาสทั้งที่ควรจะสู้  ต่างกับนักลงทุนหน้าใหม่ซึ่งกล้าที่จะเสี่ยงมากกว่านักลงทุนที่ผ่านวิกฤตเศรษฐกิจมาหลายรอบ

ความหวัง
     
ข้อผิดพลาดหลักอีกอย่างหนึ่งของนักลงทุนคือการถือหุ้นที่ขาดทุนต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่ cut loss เพราะไปหวังว่าราคาหุ้นจะดีขึ้น การเล่นโป๊กเกอร์ก็เช่นกัน

ในหลายครั้งทั้งๆ ที่ผู้เล่นมีไพ่อ่อนในมือ แต่ยังเลือกที่จะเล่นต่อแทนที่จะหมอบ เพราะไปหวังลมๆ แล้งๆ ว่าไพ่ที่จะเปลี่ยนจะทำให้สถานการณ์พลิกกลับ แต่มันมักทำให้ขาดทุนเพิ่มขึ้น

Jesse James เทรดเดอร์หุ้นชื่อดังในยุค 1920 เขียนไว้ว่า Trader ที่ประสบความสำเร็จจะต้องควบคุมอารมณ์หลัก 2 อย่างของมนุษย์ไว้ให้ได้ นั่นก็คือความหวังกับความกลัว

ในช่วงตลาดขาลง คนจะหวังทุกวันว่าพรุ่งนี้จะไม่ลงต่อ และอาจจะดีขึ้น ความหวังจึงทำให้ไม่ cut loss แล้วก็ลงเอยด้วยการขาดทุนจำนวนมาก เพราะตลาดขาลงไม่ใช่ความผันผวนช่วงสั้นๆ

ส่วนเวลาตลาดเป็นขาขึ้น นักลงทุนกลับกลัวว่าวันรุ่งขึ้นกำไรของคุณที่ได้มาตอนนี้จะหดหายไป ทำให้รีบขายหุ้นออกเร็วเกินไป ทั้งๆ ที่ตลาดกำลังเป็นขาขึ้น เช่นจากการมีนักลงทุนต่างประเทศกำลังอยู่ในโหมดขนเงินเข้ามาซื้อหุ้นไทย เป็นต้น ความกลัวในจังหวะที่ไม่ควรกลัวจึงปิดกั้นความสามารถในการเพิ่มกำไร

นักลงทุนชื่อดังหลายราย มักจะทำในสิ่งที่สวนกระแสกับคนอื่นๆ   ในเวลาที่คนอื่นกำลังโลภ เขากลับกลัว และในเวลาที่คนอื่นกลัว เขากลับโลภเพราะมีความหวัง

ในตลาดที่เป็นขาลงและขาขึ้น (ไม่ใช่ความผันผวนช่วงสั้นๆ)  นักลงทุนที่มีสติต้องระลึกอยู่เสมอว่า ในเวลาตลาดเป็นขาลงการขาดทุนที่ผ่านมานั้นสามารถจะขาดทุนเพิ่มขึ้นได้อีก เพราะผู้เล่นอยู่ในโหมด ขาย และในช่วงตลาดเป็นขาขึ้นกำไรที่เห็นวันนี้ก็สามารถเพิ่มพูนได้ในวันต่อๆ ไป เพราะผู้เล่นยังอยู่ในโหมด ซื้อ

ดังนั้น การควบคุมอารมณ์และการมีวินัย จึงเป็นกุญแจสำคัญในการลงทุนและในการเล่นโป๊กเกอร์ (เก้าเก หรือตีแตก ก็ได้ ถ้าคุณถนัดกว่า) 

ถ้าคุณสามารถทำได้ ก็จะช่วยลดโอกาสผิดพลาดที่เกิดจากการใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล

ว่าแต่วันนี้คุณจะเล่นโป๊กเก้อร์หรือหุ้นดีล่ะ

วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ปีหน้าโลกจะเป็นยังไง ตอนที่ 2

คุณวรวรรณ ธาราภูมิ
 CEO บลจ.บัวหลวง

19 ธันวาคม 2554



อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าเครื่องจักรใหญ่ในการเติบโตของโลก หยุดชะงักลง

เครื่องจักรอะไร  ไอ้ที่จมน้ำที่นิคมเหรอ ?

เอ้ย ไม่ช้าย ...  ยุโรปไง

ยุโรปเป็นกลุ่มประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก และกำลังถูกคุกคามด้วยความเป็นไปได้สูงที่รัฐกับธนาคารต่างๆ จะจ่ายคืนหนี้ตามกำหนดไม่ไหว

แก่อะดิ ช่ายป่ะ

ใช่  ยุโรปกำลังแก่ตัวลง ทำให้มีภาระค่าใช้จ่ายสวัสดิการสังคมให้คนแก่ มากกว่ารายได้ภาษีที่รัฐบาลจะได้จากกำลังงานคนหนุ่มสาว 
ท้ายสุดเราอาจได้เห็นยูโรโซนระเบิดออกมาแล้วมี 17 ศพที่พูดกันคนละภาษา
อะไรของพี่อ่ะ 17 ศพ 17 ภาษา
ปั้ดโธ่ ฉลาดน้อยอีกแล้ว ก็หมายถึง 17 ประเทศในกลุ่มยูโรโซนที่ใช้สกุลเงินยูโรไง

ถ้ายุโรปติดกับดักที่ทำให้เศรษฐกิจลงเหวลึกและยาวนาน ส่วนที่เหลือทั้งหมดในโลกก็จะแย่ตามไปด้วย เพราะยุโรปไม่ได้เป็นลูกค้ารายใหญ่ของเอเชียและอาฟริกาเท่านั้น ยังเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของอเมริกาอีกด้วยนะ
น่ากัวอ่ะ ไม่มีทางแก้เลยเหรอ

หนทางเดียวที่จะแก้ปัญหายุโรปคือต้องทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเติบโตให้ได้ การรัดเข็มขัดอย่างเดียวมันไม่ช่วย แถมยังซ้ำเติมเศรษฐกิจเสียอีก หนี้สินมหาศาลของยุโรปจะแก้ไขได้หากเศรษฐกิจโตขึ้น แต่ดูแล้วเชื่อว่าทำได้ยากมากจนอาจเป็นไปไม่ได้เลย
ทำไมล่ะ

ลองดูนี่สิ  สวัสดิการสังคมต่างๆ ของยุโรปจะยังคงไปต่อได้หากเศรษฐกิจเติบโต ทำให้มีรายได้จากภาษีเข้ารัฐไปช่วยจ่ายสวัสดิการ เมื่อไม่โตก็จะตายกันทั้งหมด ไม่มีเงินจ่ายคืนหนี้ พนักงานรัฐก็ไม่ได้เงินเดือน และหุ้นกับพันธบัตรและตราสารหนี้ใด ๆ ในยุโรปมันจะไม่มีค่ามากเท่าที่คนบางกลุ่มยังเชื่ออยู่
ตอนนี้คนเชื่อว่าการเติบโตยังทำได้ แม้จะเจอ Recession (ภาวะถดถอย) ในบางช่วง คงเพราะเห็นกันว่า Recession ที่เกิดหลังยุค 1940 ทุกครั้ง มันเกิดเร็ว จบเร็ว ไม่เจ็บปวดอะไรนัก จึงพากันเชื่อว่ายุโรปจะยังเดินหน้าแก้ไขให้โตได้ในที่สุด
อ้าว งั้นมันก็แก้ได้น่ะสิ

ไม่แน่หรอก เพราะวันนี้ ยุโรปแก่แล้ว คนแก่ๆ จะโตได้อย่างไร หากไม่ใช่เดินทางกลับบ้านเก่า
หากยุโรปไม่โต แบงค์ใหญ่ๆ เกือบทั้งโลกที่ปล่อยกู้ให้ทั้งทางตรงและทางอ้อมจะล้มละลาย

หากยุโรปไม่โต รัฐบาลในประเทศพัฒนาแล้วหลายแห่งจะล่มจมไปด้วย หรืออาจจะแย่กว่านั้นในกรณีคนโกรธแค้นหนัก

หากยุโรปไม่โต  โลกที่เรารู้จักมักคุ้น จะสลายไป

แล้วรู้ได้ไงว่ามันจะไม่โตล่ะ เป็นหมอผีเหรอ

พลัวะ !!!  ไอ้เด็กบ้า เดี๋ยวเหอะ

เออ ไม่รู้หรอก

อ้าว ไรว้า ไม่รู้แล้วยังมาเพ้อเจ้อไรนี่

ก็ดูจากญี่ปุ่นน่ะสิ เดี๋ยวพั่ด .... เพราะญี่ปุ่นหยุดโตมานานแล้ว วันนี้ผลผลิตของญี่ปุ่นต่ำกว่าที่เคยทำได้ในปี 1991 ด้วยซ้ำนะ

อ้าว มันเกิดอะไรขึ้นล่ะ

ก็เกิดจากการที่แบงค์เป็นหนี้มหาศาล เกิดจากการที่กิจการต่างๆ ก็ขยายมากไป และเกิดจากการที่ผู้คนแห่ก็ซื้อบ้านและอสังหาริมทรัพย์แบบเก็งกำไรกัน  คุ้นๆ ป่ะล่ะ

แล้วรัฐบาลญี่ปุ่นก็เข้าไปแก้ไขปัญหาด้วยการอุ้ม ทำให้ญี่ปุ่นยังไม่ล้มในวันนี้ แต่รัฐบาลก็อุ้มมากไป อุ้มมาเป็นสิบปี จนวันนี้หากเอาจำนวนหนี้สินภาครัฐแปลงเป็นธนบัตรสกุลเยนทั้งหมด แล้วเอาแบงค์เยนไปวางบนประเทศญี่ปุ่นทุกเกาะ น้ำหนักแบงค์กระดาษจะทำให้ญี่ปุ่นจมน้ำทะเล บุ๋งๆ

หูย  หนาดนั้นเชียว ... ?

เออสิ  นี่ไง หุ้นและอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่นราคาลดลงไป 2 ใน 3 จากมูลค่าเดิมแล้ว และยังไม่มีการจ้างงานเพิ่มเมื่อเทียบกับเมื่อ 20 ปีที่แล้ว และจนถึงขนาดนี้ก็ยังไม่มีสัญญาณว่าจะโตเลย

ยุโรปล่ะ จะไปทางเดียวกับญี่ปุ่นไหม

แหงมเลย ก็มันต่างกันที่ไหนล่ะ  แถมยังแก้ยากกว่าเพราะไม่ได้เป็นรัฐบาลเดียวด้วย

แล้วสหรัฐล่ะ

ก็ดูสาเหตุที่ทำให้ญี่ปุ่นแย่สิ มีข้อไหนบ้างที่สหรัฐไม่มี  เอาละ มันจะใช้เวลานานขึ้นสำหรับอเมริกา เพราะคนยังวิ่งไปหาดอลลาร์ แต่ถึงวันหนึ่งเจ้าหนี้ก็จะทนไม่ไหว หากเจ้าหนี้ตัดบัตรเครดิตทิ้ง อเมริกาจะทำยังไงล่ะ นอกจากนี้ พฤศจิกายนปีหน้าก็จะเลือกตั้งประธานาธิบดีแล้ว นโยบายต่างๆ ต้องเอาใจฐานเสียงมากกว่าคิดถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติโดยรวมใช่ไหมล่ะ เดาล่วงหน้าได้เลยว่าปัญหาจะยิ่งถูกกวาดไปใต้พรมกัน แล้วยิ่งทำให้ปัญหามันใหญ่ขึ้นๆ แล้วก็ต้องมาขอขยายเพดานหนี้อีก  ดังนั้น หากไม่โตจริง ไม่โตเร็ว และไม่โตพอ จุดหมายปลายทางของสหรัฐจึงน่าจะเหมือนญี่ปุ่น  ภาษาจีนว่าแปะเอี้ย  ภาษาอิสานว่าคื้อกั๋น

โอ้ย One Way อย่างเดียว ไม่มี Another น่ะสิ

เออใช่ ยัย Blondie ที่เคยร้องเพลงนี้มาหลายสิบปีก่อนก็ช่วยไม่ไหว แต่มันก็ใช้เวลานะ กว่าจะปะทุจนคนเชื่อมั่นว่า เอาไม่อยู่น่ะ

แล้วทำไงดีล่ะ พอร์ตเราจะเจ๊งไหม

รอดิ สัญญาณใกล้แตกเมื่อไหร่ก็แจวเลยถ้ามีหุ้นหรือพันธบัตรยุโรปกับเมกา

แล้วจะให้ไปไหนล่ะ ยิ่งรวยๆ อยู่ มีเก็บลงทุนในกองทุนในอเมริกากับยุโรปตั้งหมื่นบาท รู้สึกกังวลจัง

นึกไม่ออกก็กลับบ้านเราสิ แล้วถ้าทองคำยังไม่ถึงสัดส่วนที่อยากได้ ก็เพิ่มซะ

ถามจริงเหอะ ที่บ้านขายทองเหรอ เห็นเชียร์จัง

เอ้ย ... ไม่ได้เชียร์ .... วู้ยย  .. หากรู้เรื่องทองตั้งสมัยสาวๆ ก็ไปเป็นสะไภ้ร้านทองแล้ว เฮ่อ ...

วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ทองคำจะ "เอาอยู่" ไหมหนอ?

คุณวรวรรณ ธาราภูมิ
CEO บลจ. บัวหลวง

18 ธันวาคม 2554


หลายคนที่มีทองคำในมือคงใจแป้วในสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะราคาทองคำมันดิ่งลงเร็วมากจากจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่  1,923.70  ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ขึ้นๆ ลงๆ รุนแรง จนมาเหลือต่ำกว่า 1,600 กว่าดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือลดลงมาเกือบ 20% ในขณะที่เงินลงทุนไหลไปอยู่ที่ดอลลาร์สหรัฐ

อุ๋ย ... หรือนี่จะเป็นตลาดขาลงของทองคำ (Bear Market)

อะจ๊ากกกกก ......

จริงไหม ที่ว่าเวลามีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับวิกฤติหนี้ เรามักจะเชื่อว่าทองคำจะมีราคาสูงขึ้น และดอลลาร์จะลดลงเพราะโดนขายทิ้ง

แต่ทำไมมันกลับตรงกันข้ามในพักหลังมานี้ เพราะเมื่อหุ้นในตะวันตกดิ่งลง ยูโรเดี้ยง ทองคำดันทะลึ่งลงไปกับเขาด้วย

จะราคาลงไปทำไมกัน ห๊า แล้วดอลลาร์ยังทะลึ่งพุ่งขึ้นอีกด้วย บ้าป้าว

เรื่องนี้ นักเศรษฐศาสตร์ชื่อ Danis Gartman ที่ขายทองคำล็อตสุดท้ายที่เขาครอบครองไปในสัปดาห์ก่อน ออก มาเตือนว่า มันจะตกลงไปอีก เพราะจะมีสถาบันขายในจำนวนมากๆ

เออ นิสัยอย่างนี้นี่เอง พอขายหมด ก็ค่อยออกมาเตือน  พอซื้อครบ ก็ค่อยออกมาเชียร์ คุ้นป่ะ

ล่าสุด ผลการสำรวจของ Bloomberg ระบุว่า 10 ใน 21 คน คาดว่าราคาทองคำจะขึ้นในสัปดาห์หน้านี้ ซึ่ง 10 คนใน 21 คนที่เชื่อในทางบวกต่อทองคำนี้นับว่ามีจำนวนน้อยที่สุดตั้งแต่สำรวจเรื่องทองคำเมื่อ 29 กรกฎาคม ในขณะที่ 3 คนตอบว่าไม่บวก ไม่ลบ (Neutral)

มันเป็นจริงที่ว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมานี้ตกลงไปมากที่สุด  และมูลค่าของหุ้นในตลาดโลกก็หายไปถึงกว่า 640,000 ล้านดอลลาร์แล้วนับจาก 14 ธันวาคมปีก่อน หลังจากธนาคารกลางสหรัฐหรือ FED ของลุงเบนยังไม่กระทืบ Like ให้กับการออก QE3 ซึ่งเป็นกรรมวิธีอัดฉีดเงินกระดาษเข้าไปในระบบด้วยวิธีการต่างๆ แล้วเรียกชื่อตามแต่จะคิดขึ้นมาให้ห่างไกลคำที่คนจะรู้ว่าเป็นการพิมพ์แบงค์กงเต็ก

นอกจากนี้ ยังมีความกดดันเรื่องสถานการณ์ย่อบแย่บจากยุโรป ที่ทำให้เงินหนีออกจากยุโรปไปอยู่ในดอลลาร์สหรัฐที่คน ยังเชื่อว่าปลอดภัย ทำให้ค่าเงินดอลลาร์พุ่งสูงขึ้นเมื่อเทียบยูโร

และทองคำโดยทั่วไปก็จะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับค่าของดอลลาร์

Miguel Perez- Santalla ผู้เป็น Vice President ของ Heraeus Precious Metals Management ใน New York ดูแลกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้ค้าอัญญมณีและเหมืองทอง บอกว่า หลายคนมองว่าเป็นตลาดขาลงของทองคำ แต่ปัญหาในยุโรปยังไม่ได้แก้เลย ผมจึงเชื่อว่าเดี๋ยวคนก็กลับมาซื้อทองคำกันอีก แล้วจะเห็นราคาที่เพิ่มขึ้นสูงเพราะคนไม่เชื่อมั่นในระบบการเงินเพิ่มมากขึ้นทุกมีนี่คือรายงานจาก Bloomberg

ทองคำแท่งในตลาด Comex ที่ New York มีราคาสูงขึ้นจากสิ้นปีก่อน 12% มาอยู่ที่ 1,592.70 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากโดนถล่มเละในสัปดาห์ที่แล้ว แต่ทองคำก็ยังให้ผลตอบแทนดีที่สุดเป็นอันดับสามในปีนี้ในกลุ่ม Commodity ด้วยกัน 24 ชนิดตามดัชนี S&P GSCI โดยดัชนีนี้ตกลงไปติดลบ 2.6% ในขณะที่ MSCI All Country World Index (ดัชนีหุ้นโลกในหลายๆ ตลาด ตามน้ำหนักจัดสรรที่ Morgan Stanley กำหนด) ตกลงไปติดลบ 12% และผลตอบแทนของ US Treasury เป็นบวก 9.6%

นอกจากนี้ Bank of America ยังรายงานว่า พวกเล่น Option ยังคงมองทองคำเป็นบวกอยู่ เพราะ Option ที่มีคนถือสิทธิมากที่สุดเป็นอันที่ให้สิทธิซื้อทองคำได้ในราคา 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ภายในเดือนมีนาคมปีหน้า และการถือครองมากที่สุด 8 อันดับแรกเป็น Call Option ทองคำในราคาที่ไม่ต่ำกว่า 13% เหนือราคาทองคำในวันนี้

อะไรทำให้คนมองทองคำในแง่บวกมากในอนาคตข้างหน้าล่ะ ?

มันมาจากวิกฤติหนี้ในสหรัฐ กับวิกฤติหนี้และสภาพคล่องของธนาคารในยุโรป  2 อย่างนี้คือตัวเร่งให้คนสะสมทองคำมากขึ้นในไตรมาส 3 ปีนี้ ทำให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นแรงสุดในรอบ 1 ปี และการที่ธนาคารกลางยุโรปหรือ ECB ลดดอกเบี้ยติดกัน 2 เดือนในสัปดาห์ก่อนเพื่อช่วยให้เศรษฐกิจฟื้น ก็จะยิ่งทำให้ความต้องการทองคำมากขึ้น เพราะว่าอัตราดอกเบี้ยต่ำๆ ยิ่งจะทำให้ผู้ลงทุนต้องหันไปหาทองคำเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีกว่าไปแช่เงินในยูโรหรือดอลลาร์ โดยเฉพาะเมื่อดอลลาร์มีอัตราดอกเบี้ยที่เป็นศูนย์หรือใกล้ศูนย์เต็มที แม้วันนี้คนจะวิ่งหางชี้เข้าไปหาดอลลาร์เพราะกลัวยูโรแตกก็ตาม

แต่ใครจะไปทนอยู่ในดอลลาร์ได้นานๆ  หากไม่ได้รับผลตอบแทนเลยล่ะ

Adrian Day ประธานกรรมการ Adrian Day Asset Management ในอินเดียนนาโปลิส ที่รัฐแมรีแลนด์ กล่าวว่า ปัจจัยพื้นฐานของทองคำยังดีเหมือนเดิม ทั้งธนาคารกลางยุโรปและสหรัฐยังใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย (กดดอกเบี้ยให้ต่ำ เพื่อผลักดันเศรษฐกิจ) เมื่อตลาดสะอาดแล้วราคาทองคำจะขึ้นอีก

ชอบคำนี้มาก เมื่อตลาดสะอาดแล้ว

ส่วน Daniel Briesemann นักวิเคราะห์ของ Commerzbank AG ใน Frankfurt ก็มองว่า ทองคำอาจจะลงไปต่ำกว่า 1,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ก็ได้ในระยะสั้น และอาจจะไม่เป็นแหล่งหลบภัยหรือ Safe Haven ในวันนี้ แต่เชื่อว่าในปีหน้าทองคำจะมีราคาพุ่งขึ้นไปถึง 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

ส่วน Dave Lutz หัวหน้าทีมค้า Exchange Traded Fund ที่  Stifel Nicolaus & Co. ใน Baltimore ก็ให้ความเห็นว่า ราคาที่ดิ่งลงน่าจะทำให้ธนาคารกลางชาติต่างๆ ที่ต้องการเพิ่มน้ำหนักทองคำสะสมไว้ในทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ ทยอยเข้าซื้อทองคำเพิ่ม

ใครก็ได้ แอบถาม ดร.ประสาร หน่อยสิว่า กำลังซื้อทองป่ะคะ

นักวิเคราะห์เทคนิเคิลด้านอัตราแลกเปลี่ยนทางเทคนิคของ Citigroup ให้ความเห็นในวันที่ 14 ธันวาคมนี้ว่า ทองคำอาจตกลงไปถึง 1,550 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนจะพุ่งขึ้นไปจนถึง 2,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในไตรมาส 2 ปีหน้า ในขณะที่ Bank of America ทำนายเมื่อ 2-3 วันก่อนว่า ราคาทองคำจะเป็น 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ใน 12 เดือนข้างหน้า

นอกจากนี้ Goldman Sach และอีกหลายๆ เจ้าใหญ่ๆ ก็มองราคาทองคำในปีหน้า และปีต่อๆ ไปด้วยปัจจัยพื้นฐานว่าเป็นขาขึ้น รวมถึง ลุงมาร์ค ฟาเบอร์ นักลงทุนของแท้ในใจเรา ก็บอกว่า แม้ทองคำจะราคาลดลงอีกในวันนี้ ลุงก็ไม่ได้ขายที่มีอยู่ออกไป และยังคงซื้อเพิ่ม โดยมีสัดส่วนลงทุนทองคำในพอร์ต 25% อยู่ดี

อ่ะ ไปดูยุโรปสักหน่อย

ผู้นำในกลุ่มยูโรโซนกำลังยุ่งอยู่กับการบอกโลกเป็นนัยๆ ว่า เอ้า เฮ้ย .... เรากำลังจะกดปุ่มเตือนภัยใหญ่หลวงจากความเสี่ยงของระบบการเงินและเศรษฐกิจโลกที่จะมีในตลอด 3 ปีข้างหน้านี้อยู่มะรอมมะร่อแล้วนะ 

แปลกแต่จริง เพราะเหมือนไปตะโกนใส่คนหูหนวกนั่นแหละ

สัปดาห์ก่อน พันธบัตรรัฐบาลอิตาลีอายุ 10 ปี ต้องให้ผลตอบแทนสูงถึงกว่า 7% เกือบ 3 เท่าของอัตราดอกเบี้ยที่สหรัฐต้องจ่ายให้ผู้ซื้อพันธบัตรของอเมริกา (เพื่อรัฐบาลได้เอาเงินไปใช้จ่ายเกินตัวอีกเหมือนเดิม) ในขณะที่ประธานธนาคารกลางเยอรมนี ออกมาเตือนอย่างจริงจังมากว่า ถ้าธนาคารกลางยุโรปขืนไปพิมพ์แบงค์ออกมาอีกละก็ ทั้งยุโรปจะเจอกับภาวะเงินเฟ้อที่จะทำให้ธนาคารพาณิชย์ใหญ่ๆ ของยุโรปหลายแห่งต้องล้มลง

ก็หูหนวกกันอีกแหละ

อืม .... แล้วถ้าธนาคารใหญ่ๆ ในยุโรปล้มลงล่ะ มันจะพาระบบการเงินของทั้งโลกล่มสลายตามไปด้วยไหม

คำตอบคือไม่มีใครรู้หรอก แต่ที่แน่ๆ ก็คือตลาดไม่เคยผิด การทำตามสิ่งที่ตลาดให้สัญญาณเราจึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด

ตามที่กล่าวตอนต้นว่า Dennis Gartman  ผู้เคยทำนายว่าตลาด Commodity จะดิ่งลงในปี 2008 ได้ถูกต้อง เขาบอกให้ออกไปจากทองคำซะ มันกำลังอยู่ในช่วงขาลง และจะลงต่ำกว่า 1,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ด้วย แม้จะมีข่าวดีต่อราคาทองคำ เช่นเรื่องจีนต้องการทองคำจำนวนมากโดยสั่งเข้ามาจากฮ่องกงในอัตราเติบโตพุ่งสูงถึง 51% เป็น 86.3 ตันในเดือนตุลาคม เป็นเรคคอร์ดสูงสุดในแต่ละเดือน และในปี 2010 จีนยังนำเข้าทองคำถึง 300 ตัน 

แต่ Dennis Gartman บอกว่าการกระหน่ำซื้อขนาดนี้ไม่ได้ทำให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นไปทำนิวโฮได้เลย และบอกอีกด้วยว่า เรื่องนี้กฏการ Trade ดั้งเดิมบอกว่าตลาดที่ไม่ตอบรับข่าวดีเป็นตลาดขาลง ไม่ใช่ขาขึ้น

เออ ขาขึ้นของเฮียแปลว่าหัวลง และขาลงแปลว่าหัวขึ้นปะจ๊ะ

แต่ Dominic Frisby ที่ลอนดอน บอกว่า กร๊วกสิ .. มันไม่เร็วขนาดนั้นหรอกเพื่อน การที่ทองคำราคาขึ้นมา 16% จากสิ้นปีก่อน มันยืนยันว่าไม่ใช่ตลาดขาลง

เอาละ ถ้าเราเชื่อว่า Bear Market หรือตลาดขาลง คือตลาดที่ลดลงไป 20% จากจุดสูงสุดที่เคยทำได้  Dennis Gartman ก็อาจวิเคราะห์ไว้ถูกต้อง  

แต่ ...

ทองคำก็ผ่านจุดที่ราคาตกลงไป 20% จากราคาสูงสุดไปแล้วถึง 3 ครั้ง ตั้งแต่เป็นขาขึ้นหรือ Bull Market ที่เริ่มต้นในปี 2001 โดยเกิดขึ้นในปี 2006, 2008 และเมื่อ 3 เดือนก่อนในเดือนกันยายนปีนี้

แล้วถ้าดูราคาระหว่างวัน จะเห็นว่ามันตกลงมาจาก 6 กันยายน ปีนี้ที่สูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ 1,923 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ไปที่ 1,535 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในวันที่ 26 กันยายนล่ะ นั่นมันก็ตกลงไป 20% ไม่ใช่เรอะ ห๊า 

ดังนั้น จึงไม่มีอะไรดีไปกว่าไปดูที่ปัจจัยพื้นฐาน ไม่ใช่เทคนิคัล เพราะเราเป็นผู้ลงทุนระยะยาว

แล้วปัจจัยพื้นฐานมันเปลี่ยนไปหรือ ห๊า ?

ม้ายยย... ม่ายด้ายเปลี่ยนเล้ยยย ... หากจะเปลี่ยนก็คือยังเป็นแนวเดิม หนี้ท่วมยุโรปกับสหรัฐเหมือนเดิม แต่เปลี่ยนตรงที่หนี้มันหนักมากขึ้นและจะมากขึ้น ยิ่งยืดปัญหาออกไปนานๆ ก็ยิ่งแก้ยากขึ้น และต้องใช้ทรัพยากรมากขึ้นในการแก้ไข

แล้วจะสงสัยตกใจอะไรกับเรื่องระยะสั้นอีกละ หือ ?

วัยรุ่นเลือดร้อนบางคนอ่านมาถึงตรงนี้อาจมีวิญญาณ Occupy นั่น Occupy นี่ เข้าสิง จนกระทั่งบอกว่า จะไปตุนทองคำทำไม เวลามีปัญหาทองคำก็กินไม่ได้ สู้ตุนลูกระเบิดเอาไว้ปล้นเขากินจะดีกว่าม้าง

กลับไปย้อนดูหน่อย  ทองคำขึ้นติดต่อกันมา 11 ปีแล้ว  หากปิดสิ้นปีนี้ยังเป็นบวก มันก็เป็นปีที่ 12  มันกำลังทดสอบพวกเราอยู่ว่ารักกันจริง หวังแต่ง เพื่ออยู่ด้วยกันแบบยืดยาวหรือเปล่า หรือชอบแบบชั่วคราว 2-3 ชั่วโมง เพราะมันอาจลงไปทดสอบใจเราโดยหดจู๋ลงไปที่ 1,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก็ได้

อุ้ย  คนที่รักจริง หวังแต่ง จะทำใจได้ไหมล่ะ

จะซื้อ จะถือต่อ หรือจะขายทิ้งเพราะเด็กมาเคาะบอกหมดเวลา 2-3 ชั่วโมงแล้ว  มันจึงขึ้นอยู่กับตัวเราเองเท่านั้นละ

ซึ่งหากราคาทองคำลงไปมากขนาดนั้น เราต้องมาประเมินกันใหม่ แต่ในระหว่างนี้ ผู้จัดการกองทุนหลายคนในประเทศตะวันตกและตะวันออก มีคำแนะนำว่า ขายหุ้นซะ แล้วไปซื้อทองคำ ขอย้ำว่าเขาหมายถึงหุ้นทั่วๆ ไปในตลาดโลกนะ ไม่ย้ำเดี๋ยวแห่กันไปขายหุ้นไทยในวันจันทร์โดยไม่มีเหตุผลดีๆ มารองรับ

มองอีกมุมหนึ่ง ทองคำอาจจะไม่ได้ทดสอบเราในตลาดขาลง แต่กำลังทดสอบเราในตลาดขาขึ้นก็ได้ นี่ไม่ได้ทำนายนะ แค่คิด เพราะ ....

ผู้วิเคราะห์โลหะมีค่าที่ Citigroup ระบุว่า ให้ราคาทองคำที่ 3,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ใน 1-2 ปีข้างหน้า น้าจิมโรเจอร์ ก็เช่นเดียวกัน

มันอาจขึ้นไปถึง 3,400 แล้วดิ่งเหวลงมาที่ 1,500 แล้วรอเด้งขึ้นไปที่ 5,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ก็ได้ ไม่มีใครรู้หรอก 

แต่คำถามคือ มันโง่ไปไหม หากขึ้นแล้วไม่ขายก่อน แล้วค่อยซื้อใหม่เวลาขาลง
                                  
ก็ไม่รู้อีกแหละ ตามใจเหอะ เงินใครเงินมัน เล่นทองสั้นๆ กับลงทุนยาว มันหนังคนละม้วน แต่คนไทยเก่งมาก ยืนยันได้ในเรื่องการซื้อๆ ขายๆ ทองคำ

แต่เราเห็นอาการยืนยันราคาทองคำขาขึ้นครั้งใหญ่ในระยะยาวมากกว่าจะเป็นขาลง

เพราะเราเห็นว่า ที่สหรัฐ ใช้เงินถึง 1.60 ดออลาร์ ต่อรายได้ที่ได้รับจากภาษีเพียง 1 ดอลลาร์

เพราะเราเห็นว่า ที่ยุโรป เขากำลังเตรียมการร่วมมือกับธนาคารกลางสหรัฐที่จะปั๊มเงินออกไปช่วยอุ้มแบงค์และประเทศที่รัฐบาลที่ใช้จ่ายเกินตัว

เพราะเราเห็นว่า ลุงเบน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ เตรียมเงินไว้ช่วยมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ทีเดียวในการช่วยโลกการเงิน โดย Bloomberg คำนวณว่ามันต้องสูงถึง 7.7 ล้านล้านดอลลาร์เลยละ  

แต่เรื่องนี้ Nicola Matthews กับ James Felkerson จากมูลนิธิ Ford Foundation วิจัยไว้ว่า สิ่งที่ FED ของลุงเบน ปวารณาตัวเข้าไปช่วยอุ้มการพังทลายของระบบการเงินในปี 2007-2009 นั้น ลุงเบนต้องใช้เงินเกิน 29 ล้านล้านดอลลาร์!

ว้าย .. ตาเถรหกตกหล่น !!  นั่นมันตั้ง 200% ของ GDP อเมริกาเชียวนะ แล้วทำไปเพียงเพื่อไม่ให้เกิดเศรษฐกิจตกต่ำ (Depression) ที่จะดึง GDP ติดลบไป 5%

ช่วยรักษาไม่ให้ GDP สหรัฐตกลงไป 5% รัฐบาลโอบามากับ ลุงเบนถึงกับรับความเสี่ยงด้วยการอุ้มระบบการเงินและเศรษฐกิจประเทศในปริมาณถึง 200% ของ GDP นี่นะ ว้าย .. กรี๊ดดดด  ... ใจถึงเจงๆ เล้ย

ไม่ต้องบอกแล้ว ว่าจะเกิดอะไรกับทองคำ หากมันถึงเวลาชะนวนระเบิดทำงาน

ก็ได้อีกแง่คิดว่า Depression ไม่ได้แปลว่าแย่เสมอไป ในเมื่อหากเรายอมให้เกิด มันก็มีส่วนดีหลายอย่าง

-           เพราะมันจะกวาดล้างการลงทุนเลวๆ ออกไปจากตลาด
-           มันจะช่วยลดพวกเก็งกำไรอย่างเดียวออกไป
-           มันจะกดดันให้มีการใช้เงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้มีกำไรต่อผู้ลงทุนมากขึ้นด้วย
-           มันจะช่วยฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อสุรกายจอมดูดออกไปจากระบบ
-           มันจะทำให้อุตสาหกรรมที่ควรล้มหายตายจากไปนานแล้ว ต้องหายไปจริงๆ โดยไม่มีการอุ้มที่สิ้นเปลืองของรัฐต่อไปอีก
-           มันจะช่วยให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ที่ดีๆ ขึ้นมา

มันจึงเป็นการทำลายล้างที่เราต้องการ เป็นการทำลายล้างที่สร้างสรรค์ยิ่ง ประมาณว่า กำจัดคนพาล อภิบาลคนดีเป็นหน้าที่ของจอมยุทธ์ผู้กล้า อย่างนั้นแหละ

เออ ยิ่งคิดก็ยิ่งชอบ Depression แฮะ

โชคดีที่เมืองไทยยังไม่ไปถึงขั้นนั้น  ยัง เอาอยู่ที่ระดับหนี้ภาครัฐ ไม่เกิน 60% ของ GDP นะ  และตอนนี้ก่อนมีงบประมาณใหม่ที่ต้องกู้เพิ่ม มันก็ยังอยู่ที่ระดับปลอดภัยที่ 42%

หลังจากกู้ตามงบประมาณใหม่แล้ว น่าจะไปที่ 52% เห็นจะได้  ยังไม่เกินกรอบเพดานที่กำหนด

ไม่อยากให้เราโชคร้ายแบบตะวันตก เพราะขี้เกียจเขียนเชียร์ให้เกิด Depression ให้นักเศรษฐศาสตร์ตัวจริงเขาเขม่นเอา


วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ชีวิตนี้เป็นหนี้ทองคำ


คุณวรวรรณ ธาราภูมิ
 CEO บลจ. บัวหลวง

18 ธันวาคม 2554


บทวิเคราะห์ Gloom, Boom and Doom (ความหมดหวัง ความเจริญรุ่งเรือง และความหายนะ) ของ ลุงมาร์ค ฟาเบอร์ เจ้าของฉายา Dr.Doom ล่าสุดนี้ ลุงมาร์ค เล่าเรื่องของ Marion Szablicki ผู้เป็นปู้ของลุงมาร์ค และเราจะเรียกท่านว่า "ปู่มาคิยง" ซึ่งหากเป็นคนจีนเราก็คงจะเรียกท่านว่า "ย้งเล่ากง"

ลุงมาร์ค เล่าว่า การเรียนรู้เกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ของลุงเนี่ยะเริ่มตั้งแต่ลุงยังเป็นลูกเจี๊ยบ และครูคนแรกก็คือ ย้งเล่ากง นี่เอง

น่าสนใจจริงๆ เพราะปู่มาคิยง หรือ ย้งเล่ากง สอนลุงมาร์ค เรื่อง คุณค่าของทองคำเป็นเรื่องหลักเลยละ

ทำให้นึกไปถึงคุณทวดของเราเองที่บ้านอยุธยา เพราะตอนเรายังเป็นลูกเจี๊ยบ คุณทวดจะจับไปนั่งตัก ปั้นข้าวสุกร้อนๆ เป็นคำเล็กๆ ใส่ปาก แล้วตามด้วยเกลือเม็ดเล็กๆ ให้แทะ  ในระหว่างนั้น คุณทวดก็จะเล่าเรื่องพระพุทธเจ้าหลวง (รัชกาลที่ ๕) เล่าเรื่องชาดกเก่าๆ แบบสุวรรณสาม ยอพระกลิ่น เล่าเรื่องประวัติบรรพบุรุษ และเรื่องการรู้จักหากับวิธีเก็บรักษาเงินโดยสั่งสอนให้สะสมเป็นทองคำไว้เผื่อเกิดสงคราม เพราะค่าเงินจะลดฮวบฮาบ แต่ค่าทองตรงกันข้าม

ใครที่เคยเหยียดหยาม ดูหมิ่น ว่าคนโบราณเป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปี ก็จงคุกเข่า เอาหัวไปโขกพื้นแรงๆ พร้อมกับพูดว่า ผู้น้อยสมควรตายๆๆๆ  ได้แล้ว

ลุงมาร์ค บอกว่า ในช่วงบั้นปลายชีวิตของปู่มาคิยง ปู่รู้สึกว่าโลกนี้มีหนี้มากไป และเราทุกคนกำลังเดินไปสู่อนาคตที่มืดมนยากลำบากเหมือนกับที่ปู่เคยผ่านมาในยุคที่มีแต่เงินกระดาษอันไร้ค่า มีสงครามทั่วทุกที่ ในขณะที่ทองคำเป็นสิ่งที่มีค่ามาก

ปู่มาคิยง บอก ลุงมาร์ค ว่า ผู้อยู่รอดมาได้ควรเตือนคนรุ่นหลังว่า ใครก็ตามที่ละเลยบทเรียนที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ ก็เชิญทำไปตามลำบากด้วยความเสี่ยงของเขาเอง

ปู่ของลุงมาร์คเล่าเรื่องรัสเซียบุกเข้ายึดโปแลนด์ในวันที่ 17 กันยายน 1939  และภายใน 1 ปีหลังจากนั้น คนโปลิชหากไม่ถูกจับส่งไปทำงานหนักที่แคมป์แรงงาน ก็จะถูกจับส่งไปตายหยังเขียดที่คาซัคสถานกับไซบีเรีย

อืม ... ล้างเผ่าพันธุ์ของแท้เลยละ หากจะพูดว่าอาชญากรรมอย่างเดียวในสมัยนั้นคือการเกิดมาเป็นโปลิช ก็ไม่ผิดหรอก  ซึ่งเป็นเพราะชาวโปลิช เป็นนักรบที่เกรียงไกร กล้าหาญ จนขึ้นชื่อมาก ทำให้รัสเซีย ต้องการกำจัดให้กำลังอ่อนแอลง จึงได้ประหารชีวิต หรือส่งไปตายนอกประเทศโปแลนด์  

และเมื่อสงครามโลกสิ้นสุดลง รัสเซียก็ไม่เคยคืนบ้าน ที่ดิน ให้คนโปแลนด์เลย แถมในปี 1943 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง โปแลนด์ตะวันออกก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียอยู่ดี

ในช่วงสงคราม ค่าของเงินกระดาษอ่อนแอและเปราะบางมาก  ยิ่งประเทศใดแพ้สงคราม ค่าเงินของประเทศนั้นก็ไม่เหลือ ซึ่งลุงมาร์คเล่าว่ามันเกิดขึ้นกับปู่มาคิยงหรือย้งเล่ากงผู้อาศัยอยู่ทางโปแลนด์ตะวันออกในปี 1939

ปู่มาคิยง เล่าให้ลุงมาร์คฟังว่า ......

ในวันที่ 18 กันยายน 1939  (1 วันหลังรัสเซียยึดโปแลนด์) ปู่ได้รู้ว่าข่าวลือที่รัสเซียจะเข้ายึดโปแลนด์ตะวันออกเป็นเรื่องจริง ทั้งที่ก่อนหน้านั้น 3 สัปดาห์เราเพิ่งถูกเยอรมันนีเข้าตี ทวดโดนเกณฑ์เข้ากองทัพเพื่อไปต่อสู้ป้องกันประเทศตั้งแต่เยอรมนีเข้าบุก แต่เมื่อรัสเซียเข้ายึดได้หลังจากนั้น เขาก็บอกพวกเราทั้งหมดที่โดนเกณฑ์ทหารไปรบกับพวกเยอรมันให้กลับบ้าน ปู่มีเมียกับลูกสาว 3 ขวบที่ต้องไปปกป้อง จึงรีบเดินเท้า 40 กิโล วันเดียวรวด เพื่อกลับหมู่บ้านที่โปแลนด์ตะวันออกทันที ด้วยความเป็นห่วงลูกเมีย

บ้านเราอยู่ใกล้ชายแดนรัสเซียซึ่งพวกมันจะเข้ามาถึงได้ในเวลาไม่นานเลย แม้ว่าปู่จะเป็นแค่คนใช้แรงงานแต่เมียของปู่มีฐานะดีกว่า เราจึงมีทองคำกับเพชรนิลจินดาของครอบครัวเธอไม่น้อย ปู่รีบขุดหลุมเอามันไปซ่อนไว้ให้ปลอดภัย เพราะปู่รู้ว่าเงินสกุล Zloty ของเราจะพังทลาย และทองคำจะเป็นสิ่งเดียวที่เป็นเงินตราได้ ซึ่งต้องเก็บไว้ใช้เพื่อดำรงชีวิตครอบครัวของเรา นี่ก็เพราะปู่จำได้ไม่ลืมเลยว่าในตอนเด็กๆ โปแลนด์เคยเจอภาวะเงินเฟ้อรุนแรงมาแล้วในปี 1923 แล้วตามมาติดๆ ด้วยภาวะเงินเฟ้อแบบ Hyperinflation ที่ประเทศเยอรมันนี  ซึ่งทำให้พ่อกับพี่น้องของปู่และปู่เองต้องซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากับอาหารด้วยสินค้าอื่นหรือทองคำเพราะเงินกระดาษไม่มีค่าเลย คนขายไม่ยอมรับ ทองคำได้รับการยอมรับมากที่สุดเพราะมีค่าสูงและพกพาไปแลกเปลี่ยนสินค้าได้ง่าย พ่อของปู่เคยเล่าเรื่องคล้ายๆ กันที่เคยมีประสบการณ์สมัยก่อนปฏิวัติฝรั่งเศสที่เกิดเงินเฟ้อรุนแรง  ก็ได้พ่อของปู่นี่หละ ที่สอนว่า ทองคำเป็นเงินตราเพียงสกุลเดียวที่ไม่มีเส้นแบ่งของประเทศ


แล้วกองทัพรัสเซียก็เข้ามาถึงหมู่บ้านเราใน 2 วันหลังจากนั้น มันก็โชคดีจริงๆ ที่ปู่เกิดในไซบีเรียตะวันออก และเคยเป้นนักมวยในรัสเซียมาหลายปี เพราะมันทำให้ปู่พูดภษารัสเซียได้สบายๆ และปู่จำได้ไม่ลืมเลยว่าในช่วงปฏิวัติรัสเซียก่อนหน้านั้น ใครที่ไม่ใช่พวกมันหรือดูมีการศึกษา มีชาติตะกูลที่ดีกว่า (คงจะแบบอำมาตย์บ้านเรา) จะตกอยู่ในอันตรายจากผู้ร่วมปฎิวัติรัสเซียที่โกรธแค้น ชิงชัง ขนาดไหน

ปู่จึงสื่อสารกับทหารรัสเซียหลายคนเพื่อหาทางออกให้กับชะตากรรมของพวกเรา แล้ว 2 สัปดาห์ถัดมา พ่อตาของปู่ซึ่งเพิ่งเกษียณจากการเป็นทหารโปแลนด์ก็ถูกจับไป เราไม่ได้พบท่านอีกแล้ว และคาดเดาได้ว่าท่านคงถูกพวกรัสเซียประหารชีวิตไปพร้อมๆ กับข้าราชการชาวโปแลนด์อีกหลายพันคน ปู่ต้องรีบให้แม่ยายอพยพออกไปทันที แล้วเราก็ไม่ได้พบท่านอีกเลย

ฤดูหนาวมาถึงพร้อมกับความหนาวเย็นที่สุดและการขาดแคลนอาหารกับสินค้าต่างๆ ที่จำเป็นในชีวิต มันมาพร้อมกับข่าวว่าพวกรัสเซียจะจับคนโปลิชไปโยนทิ้งนอกแผ่นดินของเรา  ในเดือนกุมภาพันธุ์ 1940 ชาวโปแลนด์ที่เป็นตำรวจ เจ้าของที่ดิน และผู้มีการศึกษามากมาย พร้อมญาติๆ โดนจับตัวไปทิ้งนอกประเทศในดินแดนที่ยากลำบาก  แล้วเรื่องนี้ก็มาถึงบ้านเราในกลางดึกที่มีทหารรัสเซีย 4 นายพร้อมอาวุธสงคราม มาเคาะประตูบ้านปู่  ปู่ต้อนรับพวกเขาอย่างสุภาพด้วยภาษารัสเซีย แต่พวกเขาก็สั่งให้ปู่ใส่เสื้อโค้ทและตามพวกเขาไป ปู่ก็ทำตามโดยดี และโดนซักฟอกด้วยคำถามมากมาย

โชคดีจริงๆ ที่ 1 ในทหาร 4 คนที่มาเอาตัวปู่ไปนั้น เป็นคนที่ปู่วิสาสะด้วยหลายครั้งในหลายๆ เดือนที่ผ่านมา ปู่จึงไม่โดนฆ่า และได้รับคำตัดสินว่า เนื่องจากปู่เกิดในไซบีเรีย พูดรัสเซีย และเป็นคนไม่มีการศึกษาเหมือนพวกเรา เขาจึงปล่อยให้กลับไปบ้านก่อน แล้วทหารคนนั้นก็มาจับข้อศอกปู่แล้วกระซิบว่า กลับไปหาครอบครัวซะ มาคิยง เตรียมตัวให้ดีเพราะพวกคุณจะถูกส่งไปไซบีเรียในวันหลัง

ปู่โกยแน่บกลับบ้านทันที แล้วขุดเอาทองคำกับเพชรนิลจินดาออกมาในช่วงค่ำ แล้วเอาเหรียญทองคำอันเล็กวางเรียงบนพื้นในรองเท้าบูธ เอาหนังปูทับอีกทีจะได้เดินไม่เจ็บ แล้วเอาเหรียญทองคำขนาดใหญ่ไปใส่ในส้นรองเท้า เหรีญทองคำกับสร้อยทองหลายเส้นที่เหลือซ่อนไว้หลายๆ ตำแหน่งในเสื้อโค้ทตัวใหญ่อย่างระมัดระวังไม่ให้ตรวจเจอได้

หลายวันหลังจากนั้น พวกมันมาเคาะประตูบ้านตอนตีสี่ บอกให้เราขนของและรีบอพยพไปไซบีเรียภายใน 15 นาทีเท่านั้น โชคดีที่นายทหารคนนั้นกระซิบบิกไว้ก่อน และตอนนี้บ้านเรา ที่ดินเรา ทรัพย์สินอื่นๆ ที่ยังอยู่ในนั้นก็ยังกลายเป็นทรัพย์สินของพวกรัสเซียจนทุกวันนี้

เมียและลูกสาว 3 ขวบ กับปู่ ถูกจับใส่รถบรรทุกรวมกับคนอื่นๆ ที่มีชะตากรรมเดียวกัน มันพาเราไปสถานีรถไฟเพื่อส่งไปไซบีเรีย หลังจากวันนั้นพวกเราก็ไม่เคยพบพ่อแม่พี่น้องอีก และไม่เคยกลับไปเหยียบแผ่นดินโปแลนด์อีกเลย ปู่ดีใจที่มันไม่ได้ตรวจเสื้อโค้ทกับรองเท้าของปู่ เพราะทองคำเล็กๆ น้อยๆ ที่ปู่ซ่อนไว้มันจะช่วยให้เรารอดตายได้

รถไฟมาถึงในหลายชั่วโมงต่อมา พวกเราถูกจับยัดไปในขบวนตู้ขนฝูงสัตว์ ที่ต้องใช้เวลาเดินทางไปถึงไซบีเรียใน 3 สัปดาห์ และนรกมีจริง ตู้ขนฝูงสัตว์ที่แออัดแน่นเอี้ยด ไม่มีห้องน้ำ พอ 2-3 วันที พวกมันก็มาให้ขนมปังแข็งโป๊กกับน้ำนิดหน่อย หลายคนตายไปแล้ว แต่ก็แค่ถูกโยนศพทิ้งออกไปนอกหน้าต่างไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง ผู้ชาย คนแก่ หรือเด็ก ไม่มีสองมาตรฐาน ปู่ร้องไห้ครั้งสุดท้ายในการเดินทางครั้งนั้นเมื่อมีผู้หญิงคนหนึ่งคลอดเด็กทารกออกมา ไม่นานเด็กก็ตาย แล้วทหารก็เอาศพเด็กโยนทิ้งเหมือนเศษขยะ

เราถูกต้อนลงที่คาซัคสถานใกล้ชายแดนไซบีเรีย ที่นี่จะเป็นแหล่งที่อยู่ใหม่ของเรา เพราะชาวโปแลนด์ไม่ได้รับอนุญาตให้มีชีวิตอยู่ต่อไปเนื่องจากโดนโทษประหารให้หมด เราหนาวจนจะแข็งตายเพราะอุณหภูมิที่ -20 องศาเซลเซียส คนท้องถิ่น 1 ครอบครัวโดนสั่งให้รับพวกเราเข้าไปอยู่ด้วย 3-4 ครอบครัวต่อ 1 บ้าน ทั้งๆ ที่เขายากจนมาก แต่พวกคนรัสเซียท้องถิ่นเหล่านั้นก็ดีกับพวกเราเท่าที่จะทำได้ภายใต้สถานการณ์ขณะนั้น

ทองคำที่ปู่ซุกซ่อนมานั่นแหละที่ทำให้เรารอดมาได้ ปู่ใช้มันแลกกับที่อยู่ที่ดีขึ้น แลกเป็นเหรียญรูเบิ้ลแล้วใช้มันไปซื้ออาหารมาตุนไว้ตลอดฤดูหนาวอันทารุณ ปู่ซื้อเครื่องมือใช้สอยที่จำเป็น ใช้มันรับจ้างเลื่อยไม้ ซ่อมบันได และทำงานให้คนอื่นๆ เพื่อแลกกับเงินรูเบิ้ล หรืออาหาร  บางวันปู่ต้องออกไปทำงานโดยไม่แตะอาหารเลยเพราะต้องเก็บให้ลูกเมียได้มีประทังชีวิต เราผ่านฤดูหนาวจนมาถึงฤดูร้อน ปู่เกือบตายเพราะมาเลเรีย และเมียปู่ก็เกือบตายจากไทฟอยด์ แต่ในเมื่อเรายังมีทองคำ เราก็เลยเข้าถึงยาได้  มันเป็นตามที่ปู่คิด คือเงิน Zloty ของโปแลนด์ไม่มีใครรับ รูเบิ้ลรัสเซียถึงจะใช้ได้ แต่ไม่มีอะไรดีเท่าทองคำ

แล้วในปี 1941 พวกเราทั้งหมดก็ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระโดยไม่รู้เหตุผล (เยอรมนีโจมตีรัสเซียวันที่ 22 มิถุนายน 1941 แล้วทำข้อตกลงให้ชาวโปแลนด์เป็นอิสระจากพวกรัสเซีย แต่ต้องไปเป็นทหารในเปอร์เซีย

ปู่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทหารรัสเซียบอกปู่ว่า .... มาคิยง รีบพาครอบครัวไปขึ้นรถไฟด่วนที่สุดเลย ก่อนที่พวกนั้นจะเปลี่ยนใจ ....  ปู่พาครอบครัวออกจากที่นั่นในเวลาไม่กี่ชั่วโมง หลายๆ คนที่โดนนำมาทิ้งที่นี่ล้วนอ่อนแอเกินกว่าจะเดินทางได้อีกแล้ว เขาเลยตัดสินใจอยู่ต่อ พอมาถึงสถานีรถไฟ ปู่ถึงรู้ว่าเขากำลังจะจัดตั้งกองกำลังโปแลนด์เพื่อส่งไปรบอีก แต่เจ้าหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนย้ายพวกเราบอกว่ารถไฟเต็มหมดแล้ว

ปู่จึงเดินไปหาเขาอย่างเงียบๆ และเสนอทองคำให้ 3 เหรียญทองเพื่อแลกกับที่ว่างในขบวนรถสำหรับเรา 3 คน เขาตกลง และเมื่อรถไฟมาถึง เขาค่อยๆ พาเราไปที่อีกด้านของขบวนรถ บอกกับเจ้าหน้าที่บนรถไฟว่ามีคำสั่งพิเศษให้พาพวกนี้ 3 คนขึ้นไป เราจึงรอดพ้นจากคาซัคสถานมาได้ และอยู่ในกลุ่มชาวโปแลนด์หลายพันคนที่ยินดีจะจากคาซัคสถานเพื่อลงใต้อย่างเร่งด่วนแล้วไปเข้าร่วมกับกองทัพโปแลนด์ที่เปอร์เซีย
 
เราข้ามทะเลแคสเปียนด้วยเรือ มาถึงเปอร์เซีย (อิหร่าน) เป็นพวกแรกๆ ซึ่งเป็นโชคดีจริงๆ เพราะพวกที่มาทีหลังต้องเดินเรือถอยกลับไปรัสเซียมหาโหดอีกครั้ง เนื่องจากโควต้ากองทัพเต็มแล้ว พวกเราได้รับการต้อนรับจากชาวเปอร์เซียอย่างอบอุ่น เขารักษาพยาบาลพวกเราจนฟื้นฟูเป็นปกติ ให้เราไปอยู่ในบ้านเขา ปู่พบว่าชาวเปอร์เซียเป็นคนใจดีมีเมตตาที่สุดในโลก

ปู่เข้าร่วมในกองทัพของนายพล Anders ชีวิตเริ่มมีความหวังบ้างแล้ว ลูกเมียถูกส่งไปอยู่ที่อินเดียเพื่อความปลอดภัย ปู่ไม่ได้พบพวกเขาเลยตลอด 6 ปีในกองทัพ ไม่รู้กันเลยว่าใครจะเป็นอย่างไรกันบ้าง อยู่หรือตายก็ไม่รู้

ปู่รบในอาฟริกาและอิตาลี และทำวีรกรรมไว้ที่ Monte Cassino ไม่เคยเจอเลือดมากมายขนาดนี้มาก่อนในชีวิต แล้วเราก็ตัดสินใจเข้าตีเมือง Abbey ที่เยอรมันยึดไว้ ปู่ภูมิใจเหลือเกินที่เป็นชาวโปลิช ได้เข้าร่วมในกองทัพโปแลนด์ที่กล้าหาญและเก่งกาจที่สุดในวันนั้น

สงครามสิ้นสุด  แล้วปู่ก็ตามไปค้นพบลูกเมียที่อินเดีย ซึ่งด้วยเหตุที่พวกเธออยู่อินเดียจึงทำให้พวกเธอต้องถูกส่งกลับไปอยู่ใกล้ๆ ลอนดอน ปู่จะตามไปเมื่อจบภารกิจในกองทัพ  แล้วปู่ก็ทำได้ใน 2 ปีถัดมา มันมหัศจรรย์ที่สุด และขอบคุณ วินสตัน เชอร์ชิล นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ที่ไม่ยอมให้ใครผลักดันพวกเราชาวโปลิชออกไปไหนโดยไม่เต็มใจอีกแล้ว พี่น้องผู้ชายของปู่ทุกคนตายในสงครามป้องกันโปแลนด์จนหมดสิ้น หากปู่ไม่เรียนรู้ประวัติศาสตร์จากพ่อเรื่องเงินเฟ้อ สงคราม กับคุณค่าของทองคำ เราคงไม่รอด ปู่และลูกเมียเป็นหนี้ชีวิตต่อเหรียญและสร้อยคอทองคำเพียงหนึ่งกำมือ แล้วหลายวันก่อนที่พวกเราจะอพยพจากอังกฤษเพื่อไปอยู่ออสเตรเลียตามความต้องการของเราเอง  ปู่ก็ได้รับโทรศัพท์ว่า ... มาคิยง เรามีที่ว่างให้พวกคุณในอเมริกา สนใจป่ะ ... ปู่บอกว่า... เอาสิ .. เขาตอบว่ามาเลย เร็วที่สุด ... ปู่วิ่งเต็มสปีดไปตลอดทางเลย แล้วเราก็เลยได้มีชีวิตที่ดีที่สุดในอเมริกา

หมายเหตุ :  Victoria Szablicki  ภริยาของ มาคิยง เสียชีวิตในวันที่ 5 มิถุนายน 2011 หลังจากนั้น 11 วัน ปู่มาคิยง ของลุงมาร์ค ฟาเบอร์ ก็เสียชีวิตตามไปในวัย 100 ปี หลังจากได้รับเหรียญกล้าหาญอันสุดท้ายที่ทรงเกียรติยิ่งจากรัฐบาลโปแลนด์ คือ Siberian Cross ไปในวัย 98 ปี เขาทั้งสองคนมีชีวิตสมรสร่วมกันยาวนานถึง 76 ปี