ดร.บัณฑิต นิจถาวร
14 พ.ค. 55
ข่าวใหญ่ขณะนี้ก็คงเป็นความไม่แน่นอนว่า นโยบายการแก้ไขปัญหาหนี้ยุโรปจะเดินต่ออย่างไร หลังการเลือกตั้งทั่วไป ในกรีซและฝรั่งเศส ที่ได้นำมาสู่การเปลี่ยนรัฐบาลในทั้งสองประเทศ ตามเสียงข้างมากของประชาชนที่ปฏิเสธไม่เอาการแก้ไขเศรษฐกิจ ที่เน้นมาตรการตัดลดการใช้จ่าย และการปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างที่ได้ทำมา ที่ถูกมองว่าได้ทำให้เศรษฐกิจประเทศยุโรปที่มีหนี้สูงเข้าสู่ภาวะถดถอย มีการว่างงานสูง ซึ่งกระทบความเป็นอยู่ของประชาชนต่อเนื่องมาแล้วกว่า 30 เดือน
ปีนี้อย่างที่เคยให้ความเห็นไว้ จุดอ่อนไหวที่สุดของเศรษฐกิจโลกก็คือปัญหาหนี้ยุโรป ที่การแก้ไขปัญหายังไม่สามารถฟื้นเศรษฐกิจได้ นอกจากนี้สิ่งที่ปรากฏออกมาชัดเจนก็คือ การอัดฉีดสภาพคล่องของธนาคารกลางยุโรปเมื่อช่วงต้นปี ก็มีผลเพียงรักษาระบบการเงินให้มีสภาพคล่อง ให้ธนาคารพาณิชย์ยุโรปมีสภาพคล่องพอที่จะหลีกเลี่ยงปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ แต่ไม่ได้นำไปสู่การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ หรือปัญหาหนี้ที่มีอยู่ เมื่อปัญหาหนี้ยังแก้ไม่ได้ เศรษฐกิจยุโรปที่กำลังถดถอยก็ยิ่งจะทำให้รัฐบาลขาดรายได้ที่จะใช้จ่ายและชำระหนี้ และยิ่งการแก้ไขปัญหาเน้นมาตรการรัดเข็มขัดที่ลดรายจ่าย เศรษฐกิจยุโรปก็ยิ่งจะถดถอยมากขึ้น ประชาชนที่เดือดร้อนจึงผิดหวังต่อการแก้ไขปัญหา มีการเรียกร้องให้รัฐบาลผ่อนปรนมาตรการแก้ไขปัญหาที่เข้มงวด เพื่อให้เศรษฐกิจมีโอกาสฟื้นตัว แต่เมื่อรัฐบาลไม่ทำ เพราะมาตรการรัดเข็มขัดเป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขการช่วยเหลือให้กู้ยืมเงินจากต่างประเทศ ประชาชนก็หมดความอดทนและลงคะแนนเสียงไม่สนับสนุนรัฐบาลเดิม เพื่อให้มีการใช้แนวทางอื่นในการแก้ไขปัญหาแทน
ในทางเศรษฐศาสตร์ ปัญหาที่ประเทศที่มีหนี้สูงในยุโรป เช่น กรีซ มีขณะนี้ก็คือ ปัญหาดุลชำระเงิน ที่มาจากการใช้จ่ายเกินตัวของเศรษฐกิจ ทำให้ประเทศขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับสูง
ในอดีตการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดถูกชดเชยได้โดยการกู้ยืมจากต่างประเทศ จึงไม่มีปัญหา และเศรษฐกิจก็ขยายตัว ผู้ให้กู้จึงมั่นใจว่า รัฐบาลจะมีรายได้มาชำระหนี้
แต่วิกฤติเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2007 ได้ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกชะลอลง เศรษฐกิจกรีซ ก็ชะลอลง แต่ที่ปัญหาหนี้ของกรีซกลายเป็นวิกฤติ ก็เพราะผู้ให้กู้จากต่างประเทศเริ่มไม่มั่นใจว่ากรีซจะสามารถชำระหนี้ได้ เงินที่เคยให้กู้ยืมเพื่อชดเชยการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดก็ลดลง นำมาสู่ปัญหาดุลชำระเงิน และการขาดสภาพคล่องของรัฐบาลที่จะชำระหนี้ ทำให้ประเทศอย่างกรีซต้องพึ่งการช่วยเหลือจากภายนอก เช่น รัฐบาลสหภาพยุโรป และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการผิดนัดชำระหนี้ แต่การช่วยเหลือจากภายนอกก็มากับเงื่อนไขที่รัฐบาลต้องดำเนินมาตรการรัดเข็มขัด เพื่อแก้ไขเศรษฐกิจ
คำถามก็คือ ทำไมต้องรัดเข็มขัดเพื่อแก้เศรษฐกิจ
ปกติการแก้ไขปัญหาดุลชำระเงิน จะต้องทำในสามด้าน
ด้านแรก ก็คือ แก้ไขการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่มีต้นเหตุมาจากการใช้จ่ายเกินตัวของเศรษฐกิจ
สอง กู้ยืมเงินจากต่างประเทศ เพื่อให้ประเทศมีสภาพคล่องชั่วคราวที่จะชำระหนี้ เพื่อไม่ให้เกิดการผิดนัดชำระหนี้
สาม ปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อให้เศรษฐกิจมีความสามารถในการแข่งขันพอที่จะกลับมาขยายตัวอีก
ทั้งสามด้านนี้เป็นสิ่งที่ต้องทำพร้อมกัน แต่หัวใจของการแก้ไขปัญหาหนี้ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นระดับประเทศหรือบริษัททั่วไป อยู่ที่การประหยัดที่ต้องลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ เพื่อให้มีเงินเหลือพอที่จะชำระหนี้
ในแง่เศรษฐกิจ การลดรายจ่าย เพื่อแก้ปัญหาการใช้จ่ายเกินตัวทำได้สองวิธี
วิธีแรก ก็คือ การลดค่าเงิน เพื่อให้สินค้านำเข้าแพงขึ้น และสินค้าส่งออกมีราคาสูงขึ้น สินค้านำเข้าที่แพงขึ้นก็จะทำให้คนลดการใช้จ่าย ขณะที่สินค้าส่งออกที่ได้ราคาสูงขึ้นก็จะสร้างแรงจูงใจให้ธุรกิจส่งสินค้าออกไปขายต่างประเทศแทนที่จะขายในประเทศ ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับประเทศ ผลสุทธิก็คือ การประหยัดของเศรษฐกิจที่จะทำให้การขาดดุลเดินบัญชีเดินสะพัดลดลง
วิธีที่สอง ก็คือ การลดการใช้จ่ายโดยตรง เพื่อให้เกิดการประหยัดทั้งในภาครัฐบาลที่ต้องรัดเข็มขัดด้านการคลัง และภาคเอกชนที่ต้องใช้จ่ายน้อยลงโดยนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น
ในทางปฏิบัติ ประเทศที่มีปัญหาจะใช้ทั้งสองวิธีในการแก้ปัญหา คือ ลดค่าเงินและลดการใช้จ่ายของภาครัฐและเอกชน การแก้ไขพร้อมกันทั้งสองวิธีจะไม่ทำให้เศรษฐกิจถดถอยมาก และจะสามารถฟื้นตัวได้เร็ว เพราะการใช้จ่ายในประเทศที่ถูกตัดทอนลงจะถูกทดแทนด้วยการส่งออกที่จะขยายตัวได้มากขึ้น
แต่ในกรณีของปัญหายุโรปขณะนี้ ระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินยูโร ซึ่งเป็นอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศสมาชิกกลุ่มเงินสกุลยูโรทั้งหมดเป็นข้อจำกัดสำคัญที่ทำให้ประเทศที่ต้องแก้ไขปัญหาอย่างกรีซ ไม่สามารถใช้วิธีลดค่าเงินแก้ไขปัญหาได้ เพราะในระบบเงินยูโรที่ประเทศกรีซเป็นสมาชิก สกุลเงินก็คือ ยูโร ที่ใช้ร่วมกัน ประเทศอย่างกรีซจึงไม่มีสกุลเงินของตนเองที่จะลดค่าได้ และเมื่อวิธีการลดค่าเงินไม่สามารถใช้ได้ การแก้ไขปัญหาในกรณีของกรีซ จึงต้องพึ่งการลดการใช้จ่ายด้านเดียว ทำให้รัฐบาลกรีซต้องประหยัดมากคือ ต้องตัดทอนรายจ่าย เพิ่มภาษี และขายสินทรัพย์ เพื่อให้มีรายได้พอที่จะชำระหนี้ และขนาดของการตัดลดรายจ่ายในกรีซก็ต้องมาก เพราะกรีซไม่มีการลดค่าเงินที่จะเป็นมาตรการที่จะช่วยได้อีกทาง ประเด็นนี้ทำให้เศรษฐกิจกรีซชะลอตัวรุนแรง มีปัญหาการว่างงานสูงและประชาชนเดือดร้อน จนนำมาสู่การลงคะแนนเลือกตั้งที่ปฏิเสธไม่สนับสนุนการใช้มาตรการเข้มงวดในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ
คำถามที่ตามมาก็คือ ถ้ารัฐบาลใหม่ของกรีซ ไม่ใช้ความเข้มงวดทางการคลังเป็นวิธีแก้ปัญหา รัฐบาลจะใช้มาตรการอะไรในการแก้ไขปัญหา
จุดนี้คือความไม่แน่นอนที่ตลาดการเงินโลกมีขณะนี้ เพราะถ้าไม่เข้มงวดด้านการคลัง ทางเลือกเดียวที่มีก็คือ ต้องลดค่าเงิน ซึ่งหมายถึงประเทศอย่างกรีซจะต้องออกจากระบบเงินยูโร และหันกลับมาใช้ระบบที่มีสกุลเงินของตัวเองเพื่อให้สามารถลดค่าเงินได้ ซึ่งตั้งแต่ผลการเลือกตั้งออกมาเมื่ออาทิตย์ก่อน ตลาดการเงินก็ได้ประเมินความเป็นไปได้นี้ สูงขึ้นเรื่อยๆ และถ้ากรีซออกจากระบบเงินยูโรจริง ความยุ่งเหยิงที่ตามมาจะสร้างความปั่นป่วนต่อตลาดการเงินโลกมาก ทำให้ปัญหาหนี้ยุโรป ซึ่งหนักอยู่แล้ว จะยิ่งรุนแรงและแก้ไขยากขึ้นไปอีก
ดังนั้น ความเป็นไปได้นี้จึงเป็นสิ่งที่ตลาดการเงินโลกไม่อยากให้เกิด เพราะไม่สามารถบอกได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นตามมา
แต่อย่างที่ทราบ ถึงแม้ตลาดการเงินจะเป็นตลาดโลกคือเป็นตลาดเดียวสำหรับทุกประเทศทั่วโลก แต่การตัดสินใจด้านนโยบายยังเป็นเรื่องของแต่ละประเทศ เป็นเรื่องของการเมืองและนักการเมืองของแต่ละประเทศ
ดังนั้น เมื่อประชาชนกรีซเลือกแล้วโดยวิธีทางการเมืองว่าจะไม่เอาการประหยัด เป็นวิธีแก้ไขปัญหา เราคงต้องตามดูว่ารัฐบาลใหม่จะเดินอย่างไรต่อในการแก้ไขปัญหา ซึ่งไม่ว่ารัฐบาลกรีซจะตัดสินใจอย่างไร ผลต่อตลาดเงินและเศรษฐกิจโลกจะมีสูงกว่าเดิมมาก