วรวรรณ ธาราภูมิ
25 พฤศจิกายน 2554
24 พฤศจิกายน 2554 เป็นวันขอบคุณพระเจ้าของอเมริกา
คนอเมริกันหลายคนเขาถือโอกาสขอบคุณธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ของลุงเบนด้วย ที่ทุกมาตรการแก้ปัญหาหนี้ของเขา มันแก้อะไรไม่ได้เลย
อ้อ แก้ได้อย่างนึง
แก้ผ้า
แต่มองอีกแง่มันก็เป็นข่าวดีที่ทุกมาตรการมันไม่เวิร์ค ตลาดจะได้ทำงานของมันไปตามกลไก
อเมริกาก็เหมือนๆ กับยุโรป เหมือน เอเชีย และอาฟริกา นั่นก็คือ ตลาดกำลังทำงานอย่างขยันขันแข็ง ทั้งตลาดหุ้น ตลาดเงิน ตลาดพันธบัตร ตลาดสินค้าเกษตร ตลาดอนุพันธุ์ และตลาดคอมโมดิตี้
ตลาดกำลังพยายามกวาดล้างหลายๆ ทศวรรษของความเน่าเฟะที่ไร้การควบคุมซึ่งทำให้ราคาหลักทรัพย์ต่างๆ ไม่ได้สะท้อนความเป็นจริง แต่ในเวลาเดียวกันนี้ FED กลับพยายามหยุดยั้งตลาดไม่ให้สะท้อนภาพจริง ด้วยวิธีการที่ยิ่งทำร้ายประเทศด้วยการอุ้มแบงค์เน่า พิมพ์แบงค์กงเต็กออกมาท่วมระบบ หรือออก QE เป็นต้น
ในระบอบทุนนิยมเสรีนั้น ใครเข้มแข็ง ใครอ่อนแอ ก็ต้องแข่งขันกันไป ใครเก่ง คนนั้นอยู่ได้ ใครอ่อนแอ ก็ต้องหลบไป ไม่มีตัวช่วย
แต่ต้นตำรับทุนนิยมเสรีอย่างอเมริกากลับสองมาตรฐาน
แบงค์ที่ปล่อยกู้ไม่ดี แบงค์ที่ลงทุนในสินทรัพย์ชั้นเลวอย่าง Subprime ฯลฯ ด้วยความโลภเพราะทำกำไรได้สูง พอเกิดเหตุจนแบงค์จะล้ม FED ก็รีบเข้าไปอุ้ม
กี่รอบๆ ก็อุ้มอยู่งั้นแหละ แม้จะต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลจากภาษีประชาชนก็จะอุ้ม แล้วก็ปล่อยให้ชนชั้นกลางของประเทศโดนปล้นความมั่งคั่งไปเรื่อยๆ
ทำไมชนชั้นกลางถึงได้อ่อนแอลงล่ะ
ก็เพราะภาษีถูกนำไปอุ้มแบงค์และกิจการที่อ่อนแอ ทำให้เม็ดเงินภาษีเหลือน้อยลงที่จะนำไปใช้จ่าย แล้วก็ต้องกู้เพิ่มขึ้นทุกที เมื่อระบบเศรษฐกิจไปไม่ไหว คนก็ตกงาน ไม่มีเงิน ต้องโดนยึดบ้าน ต้องขายทรัพย์สิน แล้วคนรวยๆ ที่มีเงินพอ ก็พวกแบงค์นั่นแหละ จะมาซื้อของถูกๆ ที่คนชั้นกลางจำใจขายออกมาเพื่อหาเงินไปปะทังชีวิต
ชนชั้นกลางของอเมริกาจึงจนลงๆ กลายเป็นชนชั้นล่างไปแล้วมากมาย
สังคมใดที่ชนชั้นกลางไม่เข้มแข็ง สังคมนั้นจะล่มสลาย
และสังคมอเมริกันในวันนี้ก็อ่อนแออย่างถึงที่สุด
ดัชนีตลาดหุ้น Dow Jones ก่อนจะหยุดในวันขอบคุณพระเจ้าติดลบมากกว่า 200 จุด ดิ่งเหวในตอนปิดตลาด เหมือนกับไม่มีใครกล้าถือหุ้นซึ่งเป็นสินทรัพย์เสี่ยงไว้ในช่วงวันหยุด เพราะไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น เลยรีบขายออกไปกอดเงินสดดีกว่า
บางคนอาจจะกลัวข่าวที่เยอรมันนีขายพันธบัตร 10 ปีได้เพียง 65% ของยอดที่ออกมาขาย ซึ่งบ่งชี้ว่านักลงทุนเริ่มห่วงฐานะการเงินของพี่เบิ้มที่แข็งแกร่งที่สุดในยุโรปอย่างเยอรมันนีแล้ว บางคนอาจจะกังวลเรื่องที่ฝรั่งเศสอาจถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือจนหลุดระดับ AAA บางคนก็กลัวตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนที่เริ่มชะลอลง ในขณะที่หลายคนกังวลเรื่อง Super Committee ของรัฐสภาสหรัฐที่ไม่มีปัญญาตกลงกันได้ว่าจะลดงบประมาณขาดดุลได้ยังไงดี จะลดตัวนี้ก็สะเทือนฐานเสียงเดโมแครท จะเพิ่มภาษีตัวโน้นก็กระแทกดวงใจฐานเสียงรีพับลิกัน
ผู้ลงทุนจึงล้วนกังวลต่อเมฆหมอกทะมึนที่เห็นข้างหน้า
แต่อย่างว่า ก็อาจกังวลแป๊บๆ เท่านั้นตามระเบียบ หากมีข่าวดีนิดๆ หน่อยๆ หรือประกาศตัวเลขเศรษฐกิจอะไรดีขึ้นมาจิ๋วๆ ก็เฮ เข้าซื้อ แล้วก็ใจเต้นตุ้บตั้บ กลัวหุ้นตกอีก เออ เอาเข้าไป
หลายคนสงสัยว่าทำไมตลาดหุ้นถึงตก ทำไมถึงขึ้น
อ้าว ไม่ขึ้นไม่ลงแล้วจะให้มันนอนนิ่งๆ เป็นเส้นตรงเรอะไงว้า ถามได้
ในความเป็นจริงแล้ว เราไม่รู้จริงๆ หรอกว่าอะไรทำให้ตลาดมีปฏิกิริยาสนองตอบต่อความเป็นจริงหรือต่อข่าวต่างๆ ได้อย่างที่มันเป็น
เรารู้จริงอย่างเดียวคือธรรมชาติของตลาดก็เป็นอย่างนี้ ตลาดไม่ได้อยู่กับปัจจัยพื้นฐานตลอดเวลา เพราะหากมองที่ปัจจัยพื้นฐานอย่างเดียวแล้ว หุ้นอเมริกา หุ้นยุโรป ต้องตกลงไปกว่านี้อีกมาก แต่ความรู้สึกของคน การสนองตอบต่อข้อมูลข่าวสารของคน หรืออารมณ์ เป็นอีกตัวการที่กำหนดราคาหุ้น โดยเฉพาะในระยะสั้น
เราไม่สามารถทำนายล่วงหน้าได้ว่าตลาดวันพรุ่งนี้จะเป็นยังไง ดังนั้น เราจึงไม่เคยหน้าแตกเพราะไปทำนายดัชนีว่าจะไปถึงไหน ไม่ต้องเสียเวลามาอธิบายทีหลังว่าทำไมมันถึงไม่เป็นไปตามที่เราโม้ไว้ และเราก็ไม่นึกสนุกที่จะให้ใครๆ จะมาชี้หน้าเรา แล้วบอกว่า “ดีแต่โม้”
หลังจากตลาดขึ้นๆ ลงๆ (After the Fact) เราหลายคนจึงมองไปรอบๆ แล้ว “ทำเป็น” เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งๆ ที่อาจไม่ได้เข้าใจอะไรเลย แต่เราจะทำเป็นถามคำถาม แล้วทำเป็นตอบคำถามนั้น แม้ว่าคำตอบมันจะแหม่งๆ และดูประหลาดๆ ก็ตาม สรุปคือเราก็ต้องทำเป็นมีคำตอบให้ได้หลังจากเกิดเหตุ
นี่คือวิธีรักษาภาพพจน์ความเป็น “กูรู้” ของเราไว้
เห็นไหมล่ะ การเป็น “กูรู้” มันง่ายเพียงใด ใครๆ ก็เป็นได้ แม้กูจะไม่รู้อะไรเลย ฮ่าๆๆๆๆ
แต่สิ่งที่เราควรจับตามองอย่างพินิจพิเคราะห์สักหน่อย ก็คือเรื่องที่เยอรมันนีขายพันธบัตรไม่หมด
เกือบ 1 ใน 3 ที่ขายไม่ออก ทั้งๆ ที่เป็นประเทศเศรษฐกิจแข็งปึ้กที่สุดในกลุ่มยุโรป ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเยอรมันนีพุ่งขึ้นไปสูงเท่ากับของอังกฤษ
เป็นภาวะย่ำแย่ที่สุดสำหรับเยอรมันนี ตั้งแต่รวมกลุ่มยูโรก็ไม่เคยแย่อย่างนี้มาก่อน
ผลตอบแทนพันธบัตรเยอรมันนีสูงพอๆ กับของอังกฤษ แล้วไงล่ะ ใครมีปัญหา รู้ป่ะ อั๊วลูกใคร?
ก็ต้องคิดแบบนักเศรษฐศาสตร์ทั้งๆ ที่เราไม่ได้เรียนเศรษฐศาสตร์เกิน ECON101 กับ ECON102 นี่ละ
เรื่องนี้ใครๆ ก็คิดได้หากใช้หัวคิด หากช่างสังเกตุและช่างตั้งคำถามกับตัวเอง หาคำตอบเอง ซึ่งแปลว่าต้องขี้สงสัย และต้องใจร้อน คือรอคนอื่นมาตอบให้ไม่ไหว ต้องกระเสือกกระสนค้นคว้าเอง อย่างน้อยกูเกิ้ลก็ไม่ได้มีไว้หาเวบโป๊อย่างเดียว
การตั้งคำถามและหาคำตอบด้วยตัวเองด้วย ทำให้เราคิดเป็น ตั้งคำถามเป็น และลุกขึ้นมาหาคำตอบเองเป็น ซึ่งย่อมดีกว่าการถามเรื่อยๆ เปื่อยๆ หรือโยนคำถามให้คนอื่นเขาต้องทำการบ้านให้อยู่เรื่อยๆ
หากเราเป็นคนขี้เกียจแบบนั้น เราจะพัฒนาได้ช้ากว่าคนอื่น ทำให้เรายืนบนขาตนเองไม่ได้สักที แล้วจะเป็นนักลงทุนเก่งๆ ได้ไงล่ะ ในเมื่อต้องคอยถามคนอื่นว่าเอาไงดีอยู่เรื่อยๆ หรือคอยวิ่งตามเซียนเป็ด เซียนไก่ ไปอย่างไร้ทิศทาง
กลับไปที่คำถามว่า “ผลตอบแทนพันธบัตรเยอรมันนีสูงพอๆ กับของอังกฤษ แล้วไง”
หากตอบว่าไม่รู้สิ คนอ่านคงจะกรี๊ดแล้วเจริญพรบรรพบุรุษกัน เพราะหลงตามอ่านมาหลายบันทัดแล้ว 5555555+
ข้อมูลเพิ่มก็คือ อัตราเงินเฟ้อในอังกฤษมันสูงกว่าเยอรมันนี สัดส่วนหนี้ภาครัฐก็สูงกว่าด้วย ในขณะที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจใกล้เคียงกัน
ก็ในเมื่อเป็นแบบนั้นแล้วทำไมอัตราผลตอบแทนพันธบัตรเยอรมันถึงได้พอๆ กับอังกฤษล่ะ มันควรต่ำกว่าสิ ในเมื่อเยอรมันแข็งแกร่งกว่าแบบนี้ ช่ายป่ะ
อาฮะ ใช่เลย เป็นข้อสังเกตุที่ดูดีมีสกุล สมเป็นลูกหลานอำมาตย์เลยทีเดียว
คำตอบก็คือ เพราะอังกฤษไม่มีลูกตุ้มยูโรมาถ่วงไว้ไง ในขณะที่เยอรมันนีมีเป็นพวง
ไอ้พวงๆ ที่ว่านี้คือประเทศอื่นๆ ที่อ่อนแอกว่าเยอรมันนีในกลุ่มมยูโรนะ ไม่ใช่ไส้กรอกเยอรมัน อย่าคิดลึก
อังกฤษโชคดีที่ไม่มีลูกตุ้มยูโรมาถ่วงไว้ และแม้จะยังมีปัญหาภายในประเทศมากมายจากกลุ่มสหภาพแรงงานจอมเรียกร้องแล้ว อังกฤษก็ยังมีอีกอย่างที่เยอรมันนีและที่อื่นๆ ไม่มี (ยกเว้นสหรัฐ) นั่นก็คือ
อังกฤษเสกแบงค์ ออกมาจากแท่นพิมพ์ได้ อังกฤษจึงสามารถชะลอวันโลกแตกไปได้ อย่างน้อยก็ระยะนึง
นี่คือคำตอบที่ว่าทำไมผลตอบแทนพันธบัตรอังกฤษถึงได้พอๆ กับของเยอรมันนี ทั้งๆ ที่อังกฤษมีเศรษฐกิจที่อ่อนแอกว่า
เยอรมันนีของคุณป้าแองจี้ เริ่มแสดงอาการแล้ว แต่อังกฤษของคุณอากอร์ดอน บราวน์ ซึ่งมีโรคหนักกว่า กลับแสดงอาการน้อยกว่าโรคที่แอบแฝงอยู่ภายใน
นี่ก็เพราะมียาโด๊ปสูตรเดียวกับลุงเบนที่สหรัฐ
มองไปที่ไหนก็พบว่าโลกเก่าอย่างยุโรปและอเมริกากำลังเสื่อมถอยลงไปเรื่อยๆ เหมือนอาการของมะเร็งมันจะกัดกินภายในร่างกายเป็นจุดๆ แล้วค่อยๆ ลาม
ที่ยุโรปเราเห็นมะเร็งเริ่มที่ กรีซ แล้วลุกลามไปที่ อิตาลี โปรตุเกส และไอร์แลนด์ และกำลังกินแดนไปที่ประเทศอื่นๆ
ที่อเมริกา มีอาการมะเร็งที่ อิลลินอยส์ ลามไปถึงนิวเจอร์ซี เมน และรัฐอื่นๆ อีกหลายรัฐ
การรักษาอาการมะเร็งมันก็ต้องกินยา ผ่าตัด เคมีบำบัด การแพทย์แผนโบราณ หรือบางคนก็พึ่งไสยศาสตร์ ฯลฯ
แต่หากเห็นว่าอาการเกินเยียวยาแล้ว เราก็ต้องเตรียมให้ทายาทรับช่วงต่อจากคนที่กำลังจะไปให้ดีที่สุด ไม่ใช่เอาแต่อัดฉีดฟอร์มาลีนเข้าไปจนใกล้จะเป็นคุณหมอผมทรงเทพีสันติภาพ และไม่ใช่เอาแต่ฉายแสงจนคนไข้จะกลายเป็นแหนมไปแล้ว
เรื่องแบบนี้ ไม่ต้องจบ Math ไม่ต้องได้รางวัลโนเบลทางเศรษฐศาสตร์ ก็เข้าใจได้ง่ายๆ ไม่ใช่เรื่องลึกลับเลย
อาการของประเทศต่างๆ เหล่านี้ต้องการการเยียวยาที่แท้จริง
นั่นก็คืออย่าให้การเมือง เข้ามายุ่ง ไม่ต้องมาอุ้ม ไม่ต้องพิมพ์แบงค์เพิ่ม
แต่ในเมื่อการ “ไม่ทำอะไรเลย” ไม่ได้อยู่ในรายการที่นักการเมืองจดไว้ในบันทึก “to do list” ทั้งๆ ที่เราอยากให้อยู่เป็นรายการแรกและรายการเดียว มันจึงมีแต่รายการ “to do list” ของนักการเมืองเต็มไปหมด เช่น การประชุมวางแผน การเจรจาต่อรอง มีประชุมสุดยอดนั่น สุดขั้วนี่ มี G20 มีไตรภาคีทรอยก้า มีประชุมธนาคารกลางสหรัฐในรูของคุณแจ็คสัน (Jackson Hole) มีการประชุมสุดยอดอาเซียน มีการแทรกแซง มีการทุ่มซื้อพันธบัตร มีการควบคุมนั่นโน่นนี่ (แต่ไม่เคยคุมตัวเอง) มีการออก QE มีพิมพ์แบงค์กงเต็ก พิมพ์ๆๆๆ กู้ๆๆๆ หาเสียงๆๆ เลือกตั้งๆๆ แล้วก็กล่าวสุนทรพจน์ต่างๆ นาๆ อย่างน่าซาบซึ้งจนน้ำตาไหลพรากๆ ฟังแล้วหัวใจพองโตฮึกเหิมจนเหมือนเรากำลังใกล้เป็นวีรบุรุษสงครามอวกาศไปทุกที
เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีคณะกรรมการนั่น คณะอนุกรรมการนี่ มีกรรมมาธิการ มีประธานกรรมการ ประธานกรรมการบริหาร ประธานที่ปรึกษา ประธานเมียน้อยอาวุโส คณะกรรมาธิการปรองดอง ประธานกรรมการสตรีกิติมศักดิ์ฝ่ายกระโดดถีบหลังไอ้เก่งแต่ปาก ประธานผ้าป่าที่ปรึกษาอำนวยการ ประธานกิ๊กอำนวยการด้านต่างประเทศอาวุโส และประธานงานล้างส้วมกิตติมศักดิ์
น่าอ้วกไหมกับตำแหน่งบ้าๆ บอๆ เหล่านี้
ทำไมน่าอ้วกล่ะ มีตำแหน่งแล้วไม่ดีเหรอ
น่าอ้วกก็เพราะมันสะท้อนถึงกิจกรรมที่ไม่ก่อให้เกิดผลผลิตในวงกว้าง และสะท้อนถึงสังคมที่ไม่มีผู้นำเด็ดขาดแท้จริง จึงต้องตั้งหัวโขนไว้ให้เยอะแยะไปหมด
แล้วก็เสียเวลาประชุมนั่นโน่นนี่ ที่แต่ละคนมักจะมาเพ้อเจ้อเล่าเรื่องราวความหลังที่หาประโยชน์อันใดต่อองค์รวมไม่ได้ หรือมีประโยชน์อย่างยิ่งแต่นักการเมืองเขามองเห็นเป็นเพียงสโมสรบ้านบางแค เลยตั้งคณะนั่นนี่ไว้ให้ไปสิงสถิตย์ จะได้ไม่มายุ่งกะแผนใหญ่ของเขา
หลายคนในประเทศตะวันตก จึงเริ่มร้องตะโกนว่า “นักการเมือง ไสหัวไปสักที” เท่าที่ทำไปหลายอย่างมันยังไม่แย่พอรึไง เพราะแทนที่จะตัดนิ้วๆ เดียว เพื่อรักษาชีวิตไว้ได้โดยเร็ว กลับกลายเป็นต้องตัดทีละนิ้ว แล้วไปตัดทีละมือ ทีละเท้า จนจะต้องตัดคอแล้ว
แต่นักการเมืองไม่เข้าใจ หรือเข้าใจแต่ทำใจไม่ได้
ที่ว่าทำใจไม่ได้ ไม่ใช่ว่าห่วงคนไข้กลัวตายคามือ แต่เป็นเพราะ....
“นักการเมืองที่เคารพรักในวิชาชีพตน ย่อมห่วงตัวเองมากกว่าห่วงประชาชนและประเทศชาติ”
เออใช่เลย ....... สวัสดี