· การเมืองในกรีซกำลังเสี่ยงมากขึ้นหลังการพ่ายแพ้การเลือกตั้งของ 2 พรรคใหญ่ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลเก่า เพราะคนส่วนใหญ่ไม่พอใจมาตรการรัดเข็มขัดที่เข้มงวด (เงินเดือน บำนาญลดไปกว่า 40%) จึงหันไปลงคะแนนให้กับพรรคเล็กที่ประกาศจะผลักดันให้ยกเลิกมาตรการดังกล่าว ทำให้โลกกังวลว่ากรีซภายใต้รัฐบาลใหม่จะไม่ทำตามแผนรัดเข็มขัดที่รัฐบาลชุดก่อนตกลงใช้เพื่อแลกกับความช่วยเหลือทางการเงินจาก EU และ IMF ซึ่งจะทำให้กรีซอาจหลุดพ้นจากการเป็นสมาชิกยูโรโซน
· ขณะนี้ พรรคการเมืองฝ่ายซ้ายของกรีซ (Radical Left Coalition - Syriza) ภายใต้การนำของ อเล็กซิส ไซพราส กำลังหาพันธมิตรเพื่อจัดตั้งรัฐบาลผสม ซึ่งจะได้รับอำนาจอย่างเป็นทางการในการจัดตั้งรัฐบาล เนื่องจากพรรคนิวเดโมเครซีซึ่งแม้จะชนะเลือกตั้ง แต่ก็ยังจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้
· พรรคเล็กที่ได้รับไม้ต่อให้พยายามตั้งรัฐบาลผสม ประกาศว่า กำลังติดต่อพรรคอื่นๆ ที่มีนโยบายจะชักดาบ และจะยกเลิกมาตรการที่ตกลงรัดเข็มขัดกับ ECB และ IMF รวมถึงไม่เอามาตรการตัดบำบาญ/ลดเงินเดือน / เลิกจ้างงาน 150,000 ตำแหน่ง แต่ไม่ง่ายที่จะตั้งรัฐบาล เพราะบางพรรคบอกว่ายินดีสนับสนุนตราบเท่าที่ไม่ทำให้กรีซหลุดจากยูโร
· ECB เตือนว่า กรีซต้องตระหนักว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามแผนรัดเข็มขัดที่ให้ไว้เดิม เพื่อจะรักษาสถานภาพสมาชิก EU ในขณะที่ รมต.ตปท. เยอรมนี ทุบโต๊ะให้สัมภาษณ์ว่า ผู้มีอำนาจในกรีซต้องรีบผลักดันให้จีดตั้งรัฐบาลที่มีเหตุผลโดยเร็ว และมาตรการต่างๆ ที่เคยตกลงกันแล้วจะไม่มีการย่อหย่อนให้เป็นอันขาด
· เป็นไปได้สูงที่พรรคการเมืองต่างๆ ของกรีซจะตกลงจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ แม้จะมีคนเสนอให้ตั้งรัฐบาลแห่งชาติซึ่งมีตัวแทนจากทุกพรรคการเมือง ดังนั้น จึงมีโอกาสเลือกตั้งใหม่ในเดือน มิย นี้
· ความเสี่ยงคือกรีซอาจจะขาดเงินสดในการบริหารประเทศภายในสิ้นเดือน มิ.ย.นี้ ถ้ายังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลขึ้นเพื่อเร่งเจรจาขอเงินช่วยเหลืองวดต่อไปกับสหภาพยุโรป และ IMF ขณะที่รายได้ของรัฐอาจจะลดลง
· แม้ไม่มีเรื่องการเมืองกรีซ ก็ยังคาดว่า เศรษฐกิจยูโรโซนจะถดถอยในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ แต่เยอรมนีจะสามารถหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกันได้
· Nouriel Rubini : “ตัวเลขดัชนี PMI ของกลุ่มยูโรโซนออกมาแล้ว และมันก็ยืนยันว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ในยุโรปกำลังถลำลึกลงไปกว่าเดิม ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มัวแต่ทำอะไรอยู่? ถ้ามีประเทศใดในยุโรปผิดนัดชำระหนี้อย่างไม่มีระบบ หรือแตกแยกออกจากกลุ่มยูโรโซนอย่างไม่มีระเบียบ ความเสียหายจะระบาดไปทั่วในระดับมหากาฬ”
· Peter Schiff “ถ้า กรีซ ทำให้ยุโรปเป็นไข้หวัดใหญ่ สเปน กับ อิตาลี ก็จะทำให้ยุโรปติดเชื้ออิโบล่า”
· Citigroup Inc ระบุว่า ความเสี่ยงที่กรีซต้องกระเด็นออกจากกลุ่มยูโรโซนภายในสิ้นปีหน้าสูงขึ้นถึง 75% แล้ว
· เราจึงควรเตรียมตัวเผื่อช่วงกลางเดือน มิย นี้ ที่ FED รมต.คลัง ยูโรโซน กับ ECB จะมีการประชุมกัน และน่าจะเป็นช่วงที่กรีซเลือกตั้งอีกครั้งเพราะน่าจะจัดตั้งรัฐบาลผสมไม่ได้
· หาก กรีซ เข้าใจ Poker’s game และนำลีลามาใช้ต่อรองกับเจ้าหนี้ ในภาวะที่ลูกหนี้อย่างกรีซได้เปรียบเจ้าหนี้ เพราะผลกระทบจากการชักดาบของกรีซจะมีต่อเจ้าหนี้อย่างมหาศาลและเป็นลูกโซ่ และกรีซไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว แต่ถ้าลูกหนี้อย่างกรีซชักดาบ เจ้าหนี้เน่าแน่ๆ ก็คงต้องยอมถอยกันบ้าง ดูอย่างบ้านเราช่วงต้มยำกุ้ง : ไม่เบี้ยว ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย ใครจะทำไม
Gold
· ราคาทองคำปรับตัวลดลงต่ำกว่า $1,600 USD/oz. แล้ว ณ ขณะนี้ เพราะความเสี่ยงทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นหลังการเลือกตั้งในฝรั่งเศสและกรีซ กระทบความหวังในการแก้ปัญหาหนี้ยุโรป นักลงทุนจึงหันเข้าหาเงินดอลลาร์แทน และตลาด Commodities ก็ปรับตัวลดลงกันถ้วนหน้า จึงเกิดแรงขายทองคำออกมามากหลังราคาทองคำไม่สามารถยืนเหนือ $1,630/oz. อันเป็นจุด Support สำคัญที่ยืนระดับได้มานาน
· เป็นที่น่าสังเกตว่า ในระยะ 1 ปีให้หลังนี้ ราคาทองคำไม่เคยได้รับผลบวกจากปัจจัยเสี่ยงเรื่องหนี้ในยุโรปที่เพิ่มขึ้นเลย กลายเป็นว่าความสัมพันธ์เป็นลักษณะว่า ยุโรปเสี่ยง à หันเข้าหาดอลลาร์ à เป็นผลลบต่อทองคำ หรือพูดได้ว่า ณ ขณะนี้ ทองคำมีราคาเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ
· คำเตือนของ Marc Faber
· ลุงมาร์ค เล่าว่า มีคนพูดกันว่าทองคำเป็นฟองสบู่แล้ว เพราะพุ่งขึ้นมาแรงมากจากราคาต่ำสุดที่ $252 ต่อออนซ์ ในปี 1999 ในระยะสั้นๆ ทองคำเสี่ยงสูง ไม่น่าจะให้ผลตอบแทนดี เพราะทองคำเคยให้ผลตอบแทนดีมากไปแล้ว จึงต้องมีการถอยลงก่อนบ้าง
แต่ ลุงมาร์ค ก็ บอกเราว่า 12 ปีให้หลังนับจากราคาทองคำต่ำสุดที่ $252 ต่อออนซ์ ในปี 1999 วันนี้เรา กำลังอยู่ในภาวะที่ทองคำควรจะมีราคาสูงขึ้นอีกมาก เพราะว่าสภาพเศรษฐกิจและการเงินโลก โดยเฉพาะสหรัฐและ EU ย่ำแย่กว่าที่เคยเป็นเมื่อ 12 ปีที่แล้ว สหรัฐมีหนี้ที่ปะทุขึ้นมาจากหนี้ภาครัฐ ภาคเอกชน รวมไปถึงหนี้สวัสดิการที่มีแต่ตัวเลข เพราะที่รัฐบาลอเมริกันยังไม่ได้ใส่เงินลงไปตามภาระ จริงที่มีอย่างเช่น ประกันสังคม กับสวัสดิการและการประกันสุขภาพ เป็นต้น
· เพื่อเช็คว่าทองคำเป็นฟองสบู่หรือไม่ ลุงมาร์ค ใช้วิธีถามผู้เข้าร่วมงานสัมมนาหลายแห่งว่ามีกี่คนที่มีทองคำ คำตอบตามปกติก็คือแทบไม่มีสักคน และมีครั้งหนึ่งที่มีคนเข้าฟังถึงหลายพันคน ปรากฏว่าไม่มีใครสักคนที่มีทองคำ
“อาการอย่างนั้นไม่ใช่ฟองสบู่ ไม่เหมือนครั้งที่ไปงานสัมมนาด้านลงทุนในปี 1989 ที่ทุกคนมี หุ้นญี่ปุ่น และในปี 2000 ที่ทุกคนมีหุ้นเทคโนโลยี อย่างนั้นต่างหากที่เขาเรียกว่าฟองสบู่ ฟองสบู่เกิดเมื่อผู้เล่นส่วนใหญ่ในตลาดเป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้นๆ และขณะนี้ Marc Faber เชื่อ ว่ามีคนจำนวนมากที่มีหุ้น Apple มากกว่าเป็น ‘เจ้าของ’ ทองคำ”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น