ค้นหาบล็อกนี้

วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

วิกฤตอเมริกา ตอนที่ 12


วรวรรณ ธาราภูมิ
 CEO บลจ. บัวหลวง

12 กันยายน 2554

เมื่อวานนี้น่าจะเป็นวันที่คนอเมริกาหลายสิบล้านคนหยุดภาระกิจประจำวันเพื่อรำลึกถึงโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีก่อน พวกเขาคงจะระลึกถึงผู้เป็นที่รักที่จากไป และก็คงจะเช็ดน้ำตาแห่งความสูญเสียให้กันและกัน

ตั้งแต่ 19.30 น. จนถึงเที่ยงคืนได้ดูทีวีเกี่ยวกับ 9/11 อย่างต่อเนื่อง ได้เห็นปฏิบัติการ การเตรียมการ การทำลายล้าง ทั้งของผู้ก่อการร้ายและของรัฐบาลสหรัฐ  ดูด้วยความอึ้ง ทึ่ง แต่ไม่เสียว เพราะอายุปูนนี้ไม่มีเสียวจึงไม่ได้ใช้ยาสีฟันเซนโซดาย

ความรู้สึกที่เกิดคือ มึนตึ้บ อ้าปากค้าง ตาเบิ่ง จนถึง  22.45 น. ก็ถึงตอนที่ประธานาธิบดี โอบามา ออกมาประกาศทางทีวีด้วยสีหน้ามั่นใจในความสำเร็จว่า

สวัสดีครับ ผมมีข่าวดีที่จะเรียนให้คนอเมริกันทราบว่า สหรัฐอเมริกาได้สังหารโอซามะ บินละดิน ได้เรียบร้อยแล้ว

ก็ได้แต่ถอนใจเพราะรู้ว่า The best  (or the worst) is yet to come. เพราะมันไม่จบง่ายๆ ด้วยการตายของตาแก่คนนึงหรอก ตายสิบ เกิดแสน ยังใช้ได้เสมอ

มีการเอาบันทึกเทปของอดีตประธานาธิบดีบุช มาออกอากาศ บุชเล่าว่าขณะกำลังไปเยี่ยมชมการเรียนการสอนที่โรงเรียนอนุบาล เจ้าหน้าที่ก็มากระซิบว่ามีเครื่องบินลำหนึ่งบินมาชนตึก World Trade  

ผมนึกว่ามันเป็นอุบัติเหตุ หรือไม่นักบินคนนั้นต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ

ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง เจ้าหน้าที่คนเดิมก็มากระซิบว่า มีเครื่องบินลำที่สอง ชนตึกที่สอง อเมริกาโดนโจมตี

บุชเล่าว่า แรกสุดผมรู้สึกโกรธว่าหน้าไหนที่มาทำอเมริกาอย่างนี้ ผมตัดสินใจที่จะไม่ผลุนผลันออกไปจากห้องเรียนทันที ผมอยากให้ห้องเรียนเด็กสงบเรียบร้อย แต่แล้วผมก็ได้ออกจากห้องเรียนไปมองดูโทรทัศน์ว่าเกิดอะไรที่นิวยอร์ค ภาพที่เห็นทำให้ผมหวาดกลัวเช่นทุกคน แต่ผมเป็นผู้นำ ต้องคุมสติให้ได้ คนอื่นจะได้ไม่ตระหนกมากกว่านี้ แล้วผมก็ใช้ถ้อยแถลงที่ผมเขียนในห้องเรียนมากล่าวกับอเมริกาว่า

ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน อเมริกากำลงตกอยู่ในอันตราย วันนี้ชาติเราพบกับโศกนาฏกรรม มีเครื่องบิน 2 ลำพุ่งโจมตีตึก World Trade Center เป็นการโจมตีของผู้ก่อการร้าย

แล้วเครื่องบินลำที่ 3 ก็พุ่งชนตึกเพนตากอน

ลำแรกคืออุบัติเหตุ ลำที่สองคือการโจมตี  ลำที่สามคือการประกาศสงคราม

ผมสั่งให้แอร์ฟอร์ซวันพาผมไปที่วอชิงตัน เพราะผมอยากจะอยู่ในวอชิงตันในฐานะแม่ทัพเพื่อคุมการรบ ผมต้องป้องกันการโจมตีของข้าศึกให้ได้ แต่เจ้าหน้าที่ที่อยู่กับผมไม่ยอมให้ผมไปวอชิงตัน เพราะกลัวว่าอาจมีการโจมตีที่นั่น หน้าที่ของเขาคือต้องป้องกันผมไม่ให้ได้รับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในฐานะประธานาธิบดี  

มีข่าวว่าทำเนียบขาวกำลังจะถูกโจมตี ศัตรูใช้เครื่องบินพาณิชย์มาโจมตีเรา เราจึงให้เครื่องบินทุกลำลงจอด ไม่ให้อยู่บนท้องฟ้า ภาพจากเหตุการณ์ถูกโจมตี 11 กันยายน ถูกเอามาฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมคิดในใจว่าหากเมื่อไหร่ที่พวกเราออกจากที่กำบังไปได้ พวกมันต้องตาย

พวกเรานั่งดูในแอร์ฟอร์ซวัน ภาพคนล้มตายจำนวนมาก มันทำให้หัวใจสลายจริงๆ มันทำลายครอบครัวไปด้วย  ผมรู้สึกหมดท่าที่สุด เพราะผมทำอะไรไม่ได้เลย  ผมสั่งว่าหากเครื่องบินใดไม่ยอมลงจอด ให้ยิงได้เลย ผมจำเป็นต้องทำเพื่อปกป้องคนส่วนใหญ่ แล้วก็มีวีรกรรมของผู้โดยสารลำที่ 4 ที่ต่อสู้จนทำให้ลำที่ 4 ไปตกบนทุ่งหญ้าในเพนซลเวเนีย  มันคือสงครามในศตวรรษที่ 11

ผมไม่รู้หรอกว่าการเป็นประธานาธิบดีในยามศึกจะเป็นยังไง ผมไม่ได้หาเสียงว่าถ้าเลือกผมแล้วผมจะทำสงคราม ผมได้ตัดสินใจที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ไปแล้ว ผมตั้งใจจะปกป้องประเทศชาติ ตั้งใจจะหาตัวคนทำให้จงได้

ผมรู้สึกหงุดหงิดที่ไม่ได้อยู่ศูนย์บัญชาการที่วอชิงตัน ได้แต่อยู่บนแอร์ฟอร์ซวันบินไปมาทั่วประเทศ ไม่มีใครรู้ว่าประธานาธิบดีอยู่ที่ไหน ผมก็เหมือนครอบครัวอื่น ผมห่วงว่า ลอร่าปลอดภัยไหม ลูกเราปลอดภัยไหม   

แล้วเราก็มุ่งหน้าไปยังฐานทัพอากาศที่บาสเดล ท่ามกลางบรรยากาศของฐานทัพมีเครื่องบินทิ้งระเบิดมากมาย รู้สึกเหมือนอยู่ในสงครามเลย  

ต่อมาผมได้แถลงข่าวที่ผมร่างเองว่า อิสรภาพของเราถูกโจมตีโดยคนขี้ขลลาด กองทัพของเราและทั่วโลกกำลังตื่นตัว ความเป็นมหาอำนาจของเราถูกทดสอบ เราจะไม่พลาด และจะแสดงความเป็นมหาอำนาจของเราให้เห็น เราจะทำสิ่งที่จำเป็นเพื่อปกป้องตัวเรา

แถลงการณ์นั้นเรียกความเชื่อมั่นและกำลังใจของคนอเมริกันกลับมาได้มาก

คำถามของผมก็คือ ใครทำ และหัวหน้าข่าวกรองก็บอกว่าลักษณะเหมือนพวกอัลเคด้า ผมจึงตัดสินใจว่าต้องกลับวอชิงตัน กลับไปยังกองบัญชาการของผม เพราะผมไม่ต้องการให้ผู้ก่อการร้ายได้ใจ เราจึงพากันบินกลับ บินผ่านมาใกล้เพนตากอนที่เคยคึกคัก แต่กลับร้างเพราะถูกโจมตี

มีการโต้เถียงในวอชิงตันว่าเราควรประกาศสงครามไหม ผมตัดสินใจว่ายังไม่ต้อง แล้วผมก็พบลอร่า ผมกอดเธอ ไม่ได้พูดอะไรกัน เพราะอ้อมกอดบอกทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว

ผมรู้สึกว่านี่เป็นวันที่อเมริกันทุกคนจากทุกเส้นทางจะร่วมมือกัน เราจะจัดการกับข้าศึกได้

ในคืนนั้นผมนอนที่ทำเนียบขาว มีคนมากระซิบว่าคนร้ายกำลังจะโจมตีทำเนียบขาว ผมกับครอบครัวจึงถูกคุ้มกันตัวออกไป ผมคาดการณ์วันข้างหน้าไม่ค่อยได้ มันสะเทือนอารมณ์ และรู้ว่าจะมีผลที่ตามมา แต่ผมต้องทำงานของผม ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าผลจะออกมายังไง

วันรุ่งขึ้น 12 กันยายน คนอเมริกันตระหนักว่ากำลังอยู่ในสงครามที่ต่างไปจากเดิม มันใช้เครื่องบินของอเมริกา สังหารคนอเมริกันหลายพันคน ในแผ่นดินของสหรัฐ ผู้คนกลัวที่จะออกไปทำงาน ธนาคารปิด ทุกอย่างในชีวิตเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว 

ผมห่วงว่าจะมีการโจมตีหน่วยสืบราชการลับ เรากังวลถึงการโจมตีในระลอกต่อไป  เราต้องการข้อมูลของอัลเคด้ามากกว่าเดิม ทำไมเราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย เราต้องรู้เพื่อป้องกันต่อไป เราต้องช่วยกันทำงาน หาตัวคนเหล่านี้ให้มาให้ได้  มีการพูดถึงว่าอิรัคมีส่วนร่วมหรือไม่ ผมตัดสินใจว่าจะรับมือกับอิรัคทีหลัง เราต้องรับมือกับอัลเคด้าก่อน ซึ่งก็คืออาฟกานิสถาน เราจะหาพวกเขา เรียกคืนความยุติธรรมมาก่อน

ผมส่งข้อความไปทั่วโลกว่าอเมริกาจะตามหาและทวงถามความยุติธรรมอย่างไม่ลดละ

เหตุการณ์ 11 กันยายน มีผลกระทบต่อตำแหน่งของผม ผมไม่มีกลยุทธ์อะไรมารับเรื่องนี้ วันที่ 11 กันยา ผมเป็นประธานาธิบดียามศึก พอถึงวันที่ 12 ผมกลายไปเป็นประธานนาธิบดีสั่งการรบ

ผมไปดูที่เกิดเหตุ มองลงไปจากเครื่องบิน มันเหมือนนรก เป็นภาพที่เลวร้ายมากๆ ไม่รู้จะเปรียบเทียบกับอะไรดี
ผมลงไปที่พื้นที่ เข้าไปจับมือกับทุกคน มองไปในดวงตา เห็นพวกเขาตาแดงก่ำ เพราะทำงานเกินเวลา ทุกคนตะโกนว่า USA  USA  USA  USA USA  USA  และบอกว่าเราต้องจัดการศัตรูให้ได้

วันนี้อเมริกาอาจจะต้องคุกเข่าให้ผู้เสียชีวิต ให้ครอบครัวเขา ให้ผู้ที่กำลังทำงานหนักที่นี่เพื่อช่วยกันค้นหาทั้งผู้รอดและผู้ตาย

ในขณะที่บุชใช้โทรโข่งพูดให้กำลังใจคนงานที่กำลังขุดซากปรักหักพังนั้น มีชายแก่คนหนึ่งตะโกนว่าผมไม่ได้ยินคุณบุช จึงตะโกนตอบไปว่า

ผมได้ยินคุณ โลกได้ยินคุณ ไม่ช้าผู้คนทั้งโลกจะได้ยินเรา คนที่ทำร้ายเราก็ได้ยิน และในไม่ช้าคนที่ทำร้ายตึกเหล่านี้ก็จะต้องรู้สึก

พวกเขาไม่เข้าใจพวกเรา ไม่รู้ว่าเรามีเมตตา สนับสนุนคนที่มีจิตใจดีงาม และเราไม่ยอมแพ้ให้แก่ความป่าเถื่อน ผมสัญญาว่ามันจะไม่เกิดอีกแล้ว

หลังจากนั้น 10 ปี เมื่อประธานาธิบดี โอบามา ออกมาประกาศทางทีวีเมื่อไม่นานมานี้ว่า

สวัสดีครับ ผมมีข่าวดีที่จะเรียนให้คนอเมริกันทราบว่า สหรัฐอเมริกา ได้สังหารโอซามะ บินละดิน ได้เรียบร้อยแล้ว

บุชให้สัมภาษณ์ว่า ผมรู้สึกขอบคุณเขา  ไม่ได้ดีใจที่บินละดินตาย แต่ผมว่าเราได้รับความยุติธรรมแล้ว

เป็นรายการที่น่าดูทีเดียว คุ้มค่าของเวลาที่ใช้ไป ดูแล้วก็มีข้อคิดว่า โอซามะบินละดิน ตายไปแล้ว ซัดดัม ฮุสเซ็นก็ตายไปแล้ว ทหารอเมริกันกว่า 6,200 คนก็ตายไปเหมือนกัน และคนนับแสนๆ คนในหลายประเทศในดินแดนอื่นอันไกลโพ้นก็ตาย และหลายคนที่ตายก็ไม่รู้เรื่องอะไรด้วย

ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาคนอเมริกันอยู่ในความหวาดระแวง กลัวว่าไม่รู้มันจะมาโจมตีอีกเมื่อไหร่ ที่ไหน เวทีคอนเสิร์ต สนามกีฬา รถไฟใต้ดิน หรือศูนย์การค้า สิ่งเหล่านี้ทำให้คนอเมริกันและชาติอื่นในสหรัฐต้องมอบอิสรภาพไปให้รัฐบาลในการตรวจตรา กำกับ ชีวิตส่วนตัว เพื่อแลกกับความปลอดภัยจากศัตรูที่มองไม่เห็น และไม่รู้ว่าใครบ้าง

ในเมื่อรัฐบาลสหรัฐพูดด้วยความภาคภูมิใจนักหนาว่าทหารอเมริกันมีความกล้าหาญ เก่งกาจในการรบนอกประเทศเพื่อเสรีภาพของอเมริกา แล้วทำไมรัฐบาลอเมริกันถึงได้ยอมแพ้กับความกลัวจนยอมสูญเสียเสรีภาพของประชาชนที่ในประเทศตัวเองล่ะ

ความกลัวทำให้คนอเมริกันหันหลังชนกัน มองออกไปข้างหน้า ข้างนอก แต่ไม่ได้มองกลับเข้ามาในตัวเอง ซึ่งก็เป็นปฏิกิริยาธรรมชาติในการป้องกันตนของมนุษย์

แต่ในวันนี้สหรัฐอเมริกาไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะก่อสงครามได้อีกแล้ว เพราะไม่มีเงินพอ และในด้านศีลธรรมนั้นผู้คนก็รับไม่ไหว 

วันที่โอบามาประกาศว่าบินละดินโดนหน่วยรบซีลสหรัฐสังหารไปแล้วนั้น ผู้คนต่างโห่ร้อง ตบมือกระทืบเท้าด้วยความยินดี แต่ครอบครัวหนึ่งที่มีลูกและหลานเป็นทหารในกองทัพบอกว่า ลูกหลาน 2 คนของเขานั้น ไม่ได้ยินดีเลย เพราะพวกเขารู้จักสงครามดี และรู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นกับคนอเมริกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น