ค้นหาบล็อกนี้

วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

วิกฤตอเมริกา ตอนที่ 11


วรวรรณ ธาราภูมิ
 CEO บลจ. บัวหลวง

11 กันยายน 2554

สิ้นวันศุกร์ที่ 8 กันยายน 2554 ดัชนี ดาวโจร (Dow Jones) หุบไปเกือบ 500 จุดจากจุด High ระหว่างวันในวันก่อนหน้า เพราะว่า ลุงเบน เบอร์นานเก้ กับ นักการเมืองสหรัฐ ไม่ได้ทำอะไรเพียงพอที่จะเยียวยาสภาพเศรษฐกิจที่หักพัง แถมธนาคารกลางยูโรก็ไม่ได้ทำอะไรมากพอที่จะช่วยไม่ให้เอเธนส์เผชิญหน้ากับการผิดนัดชำระหนี้

ความจริงแล้วมันจะดีกว่า ถ้าพวกเขาทำตรงกันข้ามด้วยการไม่ทำอะไรเลย เพราะการที่ธนาคารกลางทั้งหลายรวมทั้งนักการเมืองไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องพวกนี้อย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง มันทำให้สิ่งที่ย่ำแย่แตกหักนั้นหมดโอกาสที่จะซ่อมแซมความผิดพลาดได้ด้วยตัวเอง

อย่างเมื่อวันก่อนไง ลุงเบน แกยังพูดให้คนเชื่อว่า ธนาคารกลางมีเครื่องมือหลายอย่างที่เตรียมพร้อมจะช่วย แต่ตลาดหุ้นดูเหมือนไม่เชื่อลุง หรือไม่ใช่ไม่เชื่อ แต่ไม่ให้ความสำคัญกับคำพูดของนายธนาคารกลางอีกต่อไปแล้ว

ตลาดหุ้นก็คล้ายๆ กับตลาดทองคำที่พฤติกรรมการซื้อขายสามารถสะท้อนไปถึงรากฐานของเศรษฐกิจที่เลี้ยวไปผิดทางใน 2-3 ปีก่อนได้

ตลาดหุ้นสหรัฐที่ไม่เอาไหนกับตลาดทองคำที่รุ่งเรือง ก็สามารถสะท้อนไปถึงรากฐานของรัฐบาลห่วยๆ ที่ไม่ยอมให้ทุกอย่างแก้ไขตัวเอง เพราะแทนที่จะให้ความผิดพลาดล้มเหลวมีผลให้เต็มที่และจบลงไปแล้วเกิดใหม่  พวกชนชั้นปกครองกลับยอมให้ความผิดพลาดล้มเหลวนั้นต่ออายุไปอีก แล้วก็ผิดพลาดล้มเหลวเพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้น  

เพราะในทุกครั้งที่มีอะไรเกิดขึ้น ก็จะมีแพ็กเกจออกมาช่วยเหลือ มีการโอบอุ้มเพื่อให้คนที่สมควรรับผลจากการกระทำผิดๆ ได้อยู่รอด

การโอบอุ้ม Long-Term Capital Management ในปี 1998 ทำให้เกิดฟองสบู่ในตลาด Nasdaq ในปี 1999 ซึ่งก็ส่งผลให้เกิดฟองสบู่ตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2005-2006  ด้วย และตลอดช่วงของฟองสบู่ต่างๆ เศรษฐกิจสหรัฐดูเหมือนจะรุ่งเรืองจริงๆ ดังนั้น ทุกๆ คนเลยไม่สนว่าการช่วยเหลือโอบอุ้มต่างๆ จะส่งผลข้างเคียงให้อนาคตหนักหนาสาหัสขนาดไหน และแม้รัฐบาลจะยื่นจมูกเข้ามาในชีวิตคนอเมริกันในทุกๆ เรื่อง ก็มีน้อยคนที่จะเป็นกังวล

เหตุการณ์อันน่าเศร้าสลดในวันที่ 11 กันยายน 2011 (9/11) ได้เปิดช่องให้รัฐบาลรุกเข้ามาในชีวิตของคนอเมริกัน

ผ่านมา 10 ปีแล้วประตูนั้นก็ยังคงเปิดกว้างอยู่จนถึงวันนี้ ทุกคนต้องเชื่อว่ารัฐบาลออกกฏกติกาและทำแต่สิ่งที่รัฐบาลคิดไปเองว่าดีที่สุดให้เกิดแก่ชีวิตคนอเมริกัน และพวกเขาก็ยอมให้รัฐบาลเข้ามาก้าวก่ายในชีวิตทุกๆ เรื่อง

10 ปีผ่านไป ความเจ็บปวดของคนที่สูญเสียคนที่เขารักและรักเขายังคงอยู่ไม่จางหาย

ไม่มีความเจ็บปวดใดจะเทียมเท่าความเจ็บปวดที่ต้องมีชีวิตอยู่โดยไร้คนที่ทำให้ชีวิตเรานั้นมีคุณค่าพอที่จะหายใจต่อไป และคนที่ต้องรู้สึกอย่างนั้นมีถึง 3,497 ครอบครัว

โศกนาฏกรรมของ 9/11 ไม่ได้จบลงในวันนั้น มันกลับทวีขึ้นหลายเท่า เพราะสหรัฐตอบโต้ในหลายวิถีทางที่ไม่ควรทำ และทำให้เกิดโศกนาฏกรรมต่อเนื่องยาวนานมาอีกหลายเรื่อง

ผลของโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ก็คือ ทหารอเมริกัน 4,683 ชีวิต กับกว่าแสนศพของชาวอาฟกานิสถานและอิรัค ที่ต้องสังเวยให้แก่ปฏิบัติการณ์ที่เริ่มต้นในวันที่ 7 ตุลาคม 2001 ในชื่อ “Operation Enduring Freedom”  อันเป็นปฏิบัติการในอัฟกานิสถานเพื่อโค่นล้มรัฐบาลตาลีบันซึ่งให้ที่พักพิงแก่ขบวนการก่อการร้าย อัล เคด้า ของ โอซามะ บิน ละดิน ที่ประกาศว่าตนเองเป็นคนสั่งการปฏิบัติการ 9/11

ส่วนความสูญเสียย่อยๆ ก็ได้แก่การเสียชีวิตของคนอเมริกันหลายคนที่ต้องสู้เพื่ออิสรภาพในความเชื่อของเขา และการก่อตั้งหน่วยงานรักษาความปลอดภัยในการเดินทางของสหรัฐ ที่เปลี่ยนชื่อมาเป็นด่านศุลกากรและการป้องกันชายแดนสหรัฐ โดยมีเจ้าหน้าที่หน้าตาเหมือนปลาตาย ไม่มีความรู้สึก พกปืน SIG-Sauer P229Rs ไปด้อมๆ มองๆ แถวสายพานขนกระเป๋าที่สนามบินนานาชาติ  

ชื่อที่เปลี่ยนใหม่นี้ดูเต็มไปด้วยความหวาดระแวง กระเหี้ยนกระหือรือ และป่าเถื่อน หรือว่านี่คือทิศทางที่คนอเมริกันกำลังมุ่งไปสู่ ?  ไม่ดีกว่าหรือหากจะให้เขาพกอาวุธใหม่คือความยิ้มแย้มแจ่มใสแทนปืน แต่ทำหน้าที่ได้ครบถ้วน

เป้าหมายของผู้ก่อการร้ายไม่ได้อยู่ที่ชัยชนะ แต่มันคือทำลายเหยื่อให้อ่อนแอลงทีละน้อย ซึ่งก็คือการทำให้กลัว หวาดระแวง เครียด และไม่มีความสุข  

ผลสำเร็จของการก่อการร้ายคือบรรลุเป้าหมายสุดท้ายในการทำลายล้าง พอๆ กับบรรลุเป้าหมายในการทำให้ประชาชนและรัฐบาลมีปฏิกริยาตอบสนอง

แต่รัฐบาลสหรัฐก็ตอบสนองด้วยการทำให้คนอเมริกันตกอยู่ในความหวาดกลัวกับผีอัล เคด้า ที่ตามมาหลอกหลอนตลอดสิบปีที่ผ่านมาจากการกระพือโดยรัฐบาลของตนเอง

ไม่มีอะไรที่ทำให้การก่อการร้ายสำเร็จได้เท่านี้อีกแล้ว

ชีวิตประจำวันของคนอเมริกันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง  มีรหัสสีเพื่อเตือนภัยก่อการร้ายที่สนามบิน มีความหวาดระแวงต่อทุกคนที่หน้าตาเป็นมุสลิม โดยที่ไม่ได้เข้าใจเลยว่ามุสลิมคืออะไร หรือหวาดระแวง รังเกียจ เมื่อพบคนที่มีท่าทางไม่เหมือนคนอื่น

เห็นถุงกระดาษที่ใครทิ้งไว้ก็โทรหา 911 หรือ FBI กันจ้าละหวั่น

ใกล้บ้าแล้วละ

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะคนอเมริกาได้มอบอิสระเสรีภาพในการดำเนินชีวิตปกติ รวมถึงสิทธิส่วนบุคคลในการติดต่อสื่อสารแก่รัฐบาลไป ยอมให้รัฐบาลดักฟังโทรศัพท์ได้โดยถูกกฏหมาย ฯลฯ เพียงเพื่อรักษาสวัสดิภาพทางร่างกายเอาไว้ โดยลืมบันทึกประโยคอันจับใจของ Benjamin Franklin ที่ส่งไปยังรัฐสภา เพนซิลเวเนียเมื่อจะมีการแก้ไขกฏหมายรัฐธรรมนูญ ประมาณช่วงปี 1775 ที่ว่า ...

คนที่ยอมสละเสรีภาพอันยิ่งใหญ่เพียงเพื่อความปลอดภัยชั่วคราวอันเล็กน้อย ไม่สมควรจะได้รับทั้งเสรีภาพและความปลอดภัยใดใดเลย

ในวันนี้ กฏหมาย Patriot Act ที่ออกมาเพื่อความปลอดภัยทางกายภาพของคนอเมริกัน กำลังทำอะไรหลายอย่างที่ทำร้ายวิถีดำเนินชีวิตปกติของเขาเอง รัฐบาลสามารถสอดแนมดูได้ทุกเมื่อ โทรศัพท์จะถูกดักฟัง อินเตอร์เน็ตถูกล้วงลึก การโอนเงินทุกอย่างถูกดักตามพฤติกรรม ฯลฯ 

10 ปีที่ผ่านมานี้ นอกจากคนอเมริกันจะสูญเสียชีวิตคนจำนวนมากและต้องสูญสิ้นอิสรภาพในการดำเนินชีวิตแบบคนปกติไปแล้ว สหรัฐยังต้องจ่ายด้วยการขาดดุลงบประมาณมหาศาล

ซึ่งในวันนี้มียอดขาดดุลงบประมาณถึง 15 ล้านล้านดอลลาร์ โดยยอดขาดดุลจะเพิ่มขึ้นทุกวัน วันละประมาณเกือบ 4 พันล้านเหรียญ

สหรัฐขาดดุลขนาดนั้นก็เพราะการลดภาษีนั่นนี่ การทำสงครามกับความกลัว และค่าตอบแทนพิเศษที่สัญญาว่าจะให้กับทหารที่ปฏิบัติการใน Afghanistan, Iraq, Pakistan กับที่ลิเบียในตอนนี้ ซึ่ง Brown University สรุปเมื่อเดือนมิถุนายนปีนี้ว่า ต้นทุนทำสงครามโดยรวมทั้งหมดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาสูงถึงประมาณ 4 ล้านล้านดอลลาร์ทีเดียว ส่วนการลดภาษีนั่นนี่กินเข้าไป 2.8 ล้านล้านดอลลาร์

ชัดเจนเลยว่าหากไม่มีปฏิกริยาโต้ตอบเรื่อง 9/11 แบบที่ทำไป สหรัฐจะมีฐานะทางการเงินที่ดีกว่านี้มาก

ทำตัวเองแท้ๆ

นโยบายบ้าเลือดทางด้านการต่างประเทศที่สหรัฐใช้ หลัง 9/11 กำลังจะกลับมาหลอกหลอนคนอเมริกันในอีกไม่ช้า การส่งทหารไปอิรัคเป็นนโยบายที่เลวร้ายและผิดพลาดเกินอภัย แต่รัฐบาลสหรัฐก็ทำลงไปเพราะการขจัด ซัดดัม ฮุสเซ็น จะทำลายความเข้มแข็งของอิรัคในการคุมอ่าวเปอร์เซียลง

อิหร่าน กับ อิรัค ต่อสู้กันมายาวนานในช่วง 1980-1988 เพื่อสร้างอิทธิพลของประเทศตนในอ่าวน้ำมันแห่งนี้

หากอิรัคยังเข้มแข็ง ความฝันของอิหร่านที่จะเป็นเจ้าผู้มีอิทธิพลเหนือกว่าบนอ่าวเปอร์เซียก็จะจบไป และลำพังเพียงอิหร่านจะไม่สามารถทำได้ แต่สหรัฐทำไปแล้ว

สหรัฐมีโอกาสที่จะตอบโต้เรื่อง 9/11 ให้ดีกว่านี้เพื่อประโยชน์ของตัวเอง แต่กลับไปตื่นตระหนก สติแตก และอาจจะเป็นเพราะผลประโยชน์แอบแฝงของผู้นำประเทศในกิจการพลังงาน จึงทำให้ก้าวถลำลงไปในบ่วงสงคราม และทำให้สหรัฐเองเสียหายยับเยิน

เรียกว่าชนะการศึกที่อิรัค แต่มาพ่ายแพ้ต่อสงครามเศรษฐกิจอย่างหมดรูป

หากรัฐบาลไม่ได้ตอบโต้ไปอย่างนั้น คนอเมริกันจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ สงบสุขกว่านี้ ไม่เจ็บปวดร้าวลึกขนาดนี้  ไม่ทำให้แผ่นดินอเมริกาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว หวั่นระแวง จนไม่เป็นสุขอย่างทุกวันนี้ และสหรัฐจะปลอดภัยกว่านี้  ไม่ยากจนแบบนี้  รวมถึงจะได้รับความนิยมยกย่อง ได้รับความนับถือจากนานาประเทศมากกว่าทุกวันนี้

จะมาอายคนทั้งโลกตอนนี้ มันก็สายไปแล้ว

คนอเมริกันจึงน่าสงสารที่สุด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น