ค้นหาบล็อกนี้

วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ปีหน้า โลกจะเป็นยังไง ตอนที่ 1


คุณวรวรรณ ธาราภูมิ
 CEO บลจ. บัวหลวง

13 ธันวาคม 2554


มีข่าวใน Bloomberg Radio ที่สัมภาษณ์ Barton Biggs เจ้าพ่อมือฉมังในการบริหาร Hedge Fund เมื่อสัปดาห์ก่อน

น้าบิ๊ก บอกว่า มีเหตุผลน้อยมากที่จะ Bearish แม้ว่าน้าจะไม่ได้ลงทุนในหุ้นอย่างเต็มที่ในพอร์ต

เพราะนอกไปจากยุโรปแล้ว ประเทศที่เหลือในโลกก็ยังมีเศรษฐกิจที่ดีอยู่นี่นา แถมช่วงนี้คนก็กลัวกันเกินไป จนหุ้นในสหรัฐกับหุ้นในตลาดเกิดใหม่ก็ถูกมากๆ เลยด้วย โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับผลตอบแทนของตราสารหนี้พันธบัตร หรืออะไรอื่น
                                                                                                  
อ่า .... หุ้นตลาดเกิดใหม่ รวมถึงหุ้นไทยด้วยอ๊ะป่าว !!

เออ รวมดิ

ไม่ได้พูดถึง น้าพอล ครุกแมน ไปนาน ตอนนี้น้าพอลออกมาฟาดงวงฟาดงาว่า เฮ้ย!  ยัยป้าแองจี้ (Angelina Merkel นายกรัฐมนตรีเยอรมนี) กำลังทำให้ยุโรปไปอยู่ใต้เงามืดของระบบนาซีแล้ว

น้าพอล บอกว่า หากยุโรปยอมทำตามที่ป้าแองจี้บอก ก็จะทำให้มีกฏระเบียบเข้มงวดมากขึ้น เป็นพวกขวาจัด แล้วจะทำให้เศรษฐกิจจมดิ่งไปสู่ Depression แหงแซะ เพราะอัตราการเติบโตก็เดี้ยงสนิท อัตราว่างงานก็สูงไปจนติดขอบฟ้า แล้วในที่สุดคนจะออกมาประท้วงเพราะทนต่อการรัดเข็มขัดไม่ไหว

น้าพอล คนขี้โมโห เขาหมายถึง การรัดเข็มขัดในช่วงเศรษฐกิจย่ำแย่ คนตกงานเยอะ ทำให้รัฐใช้จ่ายน้อยลง ซึ่งจะไปกระทบกับเรื่องไม่มีโปรเจคต่างๆ จากรัฐมาจุนเจือเศรษฐกิจและปากท้อง ไม่มีการจ้างงานเพิ่ม มันจะยิ่งทำให้เศรษฐกิจแย่ลงไปอีก

Dylan Grice จาก SocGen ก็ออกมาขย่มป้าแองจี้ด้วย โดยบอกว่าหากยอมให้พวกเยอรมันมากำหนดนโยบายกลุ่มยูโรให้รัดเข็มขัดมันก็คือการยอมให้ฮิตเลอร์ลุกขึ้นมาจากหลุมนั่นแหละ

อืม ... ผีฮิตเลอร์ ยังไม่หายไปจากความกลัวของผู้คนในยุโรปเลยเนอะ  คุ้นๆ ไงไม่รู้

สำหรับเรื่องที่อังกฤษเป็นชาติเดียวใน 27 ประเทศสมาชิกกลุ่มยูโร ที่ไม่ยกมือลงมติให้ในการประชุม EU Summit เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานั้น น้า Sarkozy ประนาธิบดีฝรั่งเศสที่มีเมียสวยมาก บอกว่า

มันก็ชัดเจนแล้วว่าตอนนี้เรามี 2 ยุโรป ยุโรปหนึ่งคือกลุ่มที่ต้องการความมั่นคงและรวมกันเป็นหนึ่งภายใต้กฏระหว่างสมาชิกด้วยกัน กับอีกยุโรปที่อยู่กับตรรกะที่แท้จริงของตลาด

เอ้า พูดงี้ น้าก็หมายถึงที่ เฮียเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ไม่ยกมือให้ ก็เป็นเรื่องถูกน่ะสิ

เดี๋ยวดิ อ่านต่อก่อน

มีคนถามเมื่อวานว่า ทำไมอังกฤษถึงแหกคอก

เอ้า ฟังดีๆ เด้อ

ตลอดทศวรรษที่ผ่านมานี้ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นอังกฤษ (London Stock Exchange หรือย่อว่า LSE) ล้มหายตายจากไปจากตลาดหุ้นเสียครึ่งหนึ่งแล้ว

หายไปไหนล่ะ

เจ๊งสิฟะ ถามได้

ไม่งั้นก็ต้องตะเกียกตะกายไปรวมกับบริษัทอื่นแล้วต้องปิดกิจการบริษัทลูกไปหลายแห่ง  ต้องให้คนออกจากงานไป

แล้วนี่เป็นผลจากการที่อังกฤษแปรรูปตลาดหลักทรัพย์ LSE หรือเปล่าล่ะ แล้วไหนบอกว่ามันจะดีต่อผู้คนไงล่ะ แล้วทำไมอังกฤษยังมีคนตกงานเพียบ เศรษฐกิจก็ยังแย่ลงไปเรื่อยๆ ล่ะ

โอ๊ย  ถามอยู่ได้  ไม่ตอบหรอก ดูเอาเองแล้วกัน

หุ้นที่ล้มหายตายจาก LSE ไปก็คือกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต การบริการ และการค้าปลีก ในขณะที่หุ้นที่ยังมีชีวิตอยู่คือหุ้นพลังงานและเหมืองแร่ ซึ่งที่ยังอยู่ได้ก็เพราะยังเป็น Trend ของโลก และมันไม่ได้สะท้อนตัวตนของธุรกิจของประเทศอังกฤษเลยสักนิด

สรุปแล้วการแปรรูปตลาดหุ้นของอังกฤษก่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดต่อนายแบงค์และโบรกเกอร์ แต่ไม่ช่วยเรื่องการจ้างงานและเศรษฐกิจของประเทศเลย

แปลอีกทีก็คือ นอกจากพวกกลุ่มธุรกิจการเงินไม่กี่คนในลอนดอนแล้ว การแปรรูปตลาดฯ ไม่ได้ทำให้ความมั่งคั่งของคนอังกฤษส่วนใหญ่ดีขึ้นสักนิด

แล้วทำไม เฮียเดวิด คาเมรอน ถึงแหกคอกกลุ่มยูโรล่ะ

ก็เพราะกฏเหล็กอันใหม่ที่กลุ่มยูโรจะใช้มันจะกระทบต่อความมั่งคั่งของแบงค์กับโบรกเกอร์ในลอนดอนน่ะสิ แล้วกฏใหม่จะทำให้การพิมพ์แบงค์ออกมาไม่ง่ายแล้วด้วย เรียกว่ามันจะขัดขวางทางของทุนนิยมนั่นแหละ

และข่าวชิ้นหนึ่งจาก Max Keiser ก็ระบุว่า การฉ้อฉลที่เกิดขึ้นกับ AIG, Lehman, Madoff Securities และ MF Global ล้วนแล้วแต่เป็นธุรกรรมที่ทำผ่านลอนดอนทั้งนั้น

เอาละ ที่ EU Summit เขาตกลงกันน่ะมันต้องใช้เวลากลับไปขออนุมัติในแต่ละประเทศพร้อมทำแผนละเอียดซึ่งจะกินเวลาไม่ต่ำกว่าอีกหลายเดือน

ดังนั้น จึงการันตีได้ว่าโลกการลงทุนจะยังถูกกระทบจากข่าว ยูโรดราม่า ไปอีกนาน อย่างน้อยก็ตลอดปีหน้าเลยแหละ

บทความต่างๆ ของ David Zervos นักกลยุทธ์ด้านตราสารหนี้ของ Jefferies กำลังทอปฮิตติดชาร์ต ใน Wall Street ไปแล้ว ทำให้เราต้องตามไปอ่าน เพราะกลัวจะไม่อินเทรนด์

ที่เขาเขียนเมื่อวานนี้บอกว่า มีบางอย่างที่ต้องคิดและเตรียมตัวสำหรับการลงทุนในปีหน้า

ความสัมพันธ์ของกลุ่มยูโรในลักษณะคนป่วยกับพยาบาลกำลังเดือดพล่าน เพราะมาตรการต่างๆ ที่ออกมาจากการประชุม EU Summit เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานั้น ทำให้คนป่วยอย่างอังกฤษไม่ยอมกินยา เพราะการรัด เข็มขัดหรือยาที่ให้ มันมาพร้อมด้วยกฏระเบียบในตลาดการเงินที่เข้มงวดเกินไปจนอังกฤษรับไม่ไหว แต่ที่สำคัญกว่าเรื่องอื่นก็คือ ยาโหลๆ ที่ออกมามันไม่เวิร์คสำหรับคนไข้ทุกๆ คน

David บอกต่อว่าด้วยเหตุนี้ ผู้ลงทุนจึงต้องมีแผนเผื่อเอาไว้สำหรับปีหน้า เพราะว่ามีโอกาสสูงที่ Bloomberg จะพาดหัวข่าวด้วยตัวแดงว่า

กรีซ จ่ายดอกเบี้ยพันธบัตรไม่ไหวแล้ว CDS พุ่งปรี๊ด

เท่านั้นยังไม่พอ  David ยังทำนายต่ออย่างสนุกสนานว่า

จะเกิดความโกลาหลอลหม่านจากการย้ายโพสิชั่นในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนครั้งใหญ่ แล้วจะเกิดความร่วมมือกันอัดฉีดเงินเข้าระบบอย่างมหาศาล (QE) แต่รอบนี้ไม่เหมือนปี 2008 แล้ว เพราะแม้โลกจะรอด แต่แบงค์ใหญ่ๆ บางแห่งจะไม่รอด และการลงทุนในอนุพันธ์อัตราแลกเปลี่ยนจะเป็นทางออกสำหรับผู้ลงทุนอย่างเรา

อ่านมาถึงตรงนี้อย่ามาถามว่าเราจะย้ายเงินเราไปลงทุนในอนุพันธ์อัตราแลกเปลี่ยนได้ยังไงก็แล้วกัน  เพราะตา David เขามองพอร์ตลงทุนของพวกตะวันตก ซึ่งต่างกับเราเยอะ เราอยู่ของเราอย่างนี้ก็ดีอยู่แล้ว

ก็ชัดเจนอย่างหนึ่งว่า ECB หรือธนาคารกลางยุโรปจะทำตนเป็นผู้ให้กู้รายสุดท้ายตลอดเวลา 3 ปีข้างหน้าสำหรับแบงค์ต่างๆ ในยุโรปที่ไม่รู้จะไปกู้กับใครแล้ว

แต่ก็ยังสงสัยอยู่ว่า แล้ว ECB จะมีความสามารถสูงถึงขั้นเป็นผู้ให้กู้รายสุดท้ายแก่ประเทศสมาชิกต่างๆ ได้แค่ไหน เพราะ Scale แบงค์กับ Scale ประเทศมันคนละเรื่องกัน

และยุโรปกำลังเข้าสู่ Recession

แล้วน้ารู (Nouriel Rubini) ก็ออกมาทวิตวันนี้ว่า ……

ยุโรปกำลังเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย และจะลึกมาก (Deep Recession) อเมริกาไม่โตและมีโอกาส 50% ที่จะเกิด Double Dip Recession (เศรษฐกิจถดถอยซ้ำ คือ GDP โตติดลบ 2 ไตรมาสติดกัน) และ จีนจะโตช้าลงอย่างมาก

ทวิตเสร็จ น้ารูก็ออกไปนั่งดริ๊งค์ที่ผับเล็กๆ แต่ซ่าส์สุดๆ ต่อไป

ทองคำจะเป็นไงล่ะ วันนี้ก็ตกไปโลดเลย

John Embry ที่ Sprott Asset Management บอกว่า

เมื่อมีข่าวร้ายต่อตลาดโดยรวม ทองคำก็โดนทุบ นี่เป็น Pattern ของตลาดในช่วงนี้ซึ่งโดนรบกวนจากคนที่จงใจจะทำให้เป็นอย่างนั้น แต่มันจะยิ่งทำให้ฐานราคาทองคำแน่นขึ้น และในระยะยาวแล้ว ทองคำจะพุ่งขึ้นไปได้อีกมาก โดยเฉพาะเมื่อราคาของเงินกระดาษถึงจุดที่ต้องกลับไปสู่ค่าอันแท้จริงที่ลดน้อยลงไปทุกวัน ในขณะที่ค่าของทองคำกับแร่เงินจะคงที่ ซึ่งมันก็เป็นอย่างนี้มาหลายศตวรรษแล้ว


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น