ค้นหาบล็อกนี้

วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ทุนนิยมเสรี ไม่เวิร์คแล้ว



คุณวรวรรณ ธาราภูมิ
 CEO บลจ. บัวหลวง

3 ธันวาคม 2554


เริ่มต้นอย่างนี้ คงขัดใจใครหลายคนโดยเฉพาะพรรคพวกในตลาดทุน เพราะหากคนไม่เอาทุนนิยม ก็ไม่นิยมตลาดทุนแล้ว พวกเราคงตกงาน ในขณะที่อีกหลายคนเช่น ป้าธิดา อภิมหาศรีภรรยาของลุงเหวง กับคนที่เป็นซ้ายนิยมทุนอาจรู้สึกว่าได้พวก
อย่าเพิ่งสรุปความจากชื่อเรื่องก่อนจะอ่านจบ  
เรื่องของเรื่องก็คือ มีคนจำนวนมากขึ้นในประเทศตะวันตกศาสดาทุนนิยม ที่เริ่มเชื่อว่าระบบทุนนิยมที่เรารู้จักกันมันไม่เวิร์คแล้ว


ดัชนีหุ้นดาวพงษ์ เอ้ย ดาวโจร (Dow Jones) เมื่อวันพุธพุ่งกระฉูด 4.24% จากวันก่อนหน้า ผู้ลงทุนสนองตอบข่าวชิ้นนึงยังกับคนที่เพิ่งกำซาบเฮโรอีน หลังจากธนาคารกลาง 6 แห่ง (FED, ECB, สวิส อังกฤษ คานาดา และ ญี่ปุ่น) จับมือกันกระทำการบางอย่างที่คนทั่วไปอ่านแล้วไม่รู้เรื่อง ซึ่งสรุปก็คือ ลุงเบน เบอร์นานเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐหรือ FED จะแปลงร่างเป็นซุปเปอร์แมนเบน ทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่สินเชื่อของโลกเพราะจะให้ธนาคารต่างๆ ในโลกที่มีปัญหาสภาพคล่องกู้เงินดอลลาร์ในอัตราดอกเบี้ยแทบจะเป็น 0% ได้จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ปี 2013
เรื่องนี้ พี่จันทร์ จากแบงค์กรุงเทพ บอกว่าหาก ลุงเบน เป็นเจ้าหน้าที่สินเชื่อก็ยังดี เพราะต้องวิเคราะห์ลูกค้าก่อนปล่อยกู้ แต่กรณีนี้ พี่จันทร์ บอกว่า
ชั้นไม่เรียกอีตาเบนว่าเจ้าหน้าที่สินเชื่อหรอก เพราะอีตาเบนไม่ต้องวิเคราะห์ความสามารถของธนาคารต่างๆ ที่จะขอยืมเงินไปว่าจะคืนเงินกู้ได้หรือไม่ ใครอยากได้เงินก็มาเอาเงินเล้ย ดูมันทำ
ส่วนดัชนีหุ้นไทยก็โหนกระแส เพราะหลังจากรับรู้ข่าวในเช้าวันพฤหัสก็เด้งดึ๋งตามจนปิดตลาด +2.39% แตะระดับ 1019.15 จุด ส่วนวันศุกร์ก็ปิดไปที่ 1029.37
ข่าวนี้ทำให้คนที่ชอบวิ่งเข้าวิ่งออกถลอกปอกเปิกเปลี่ยนไปอยู่ในโหมด “Risk On” คือรักที่จะเสี่ยงอีกครั้งไปทั่วโลก ลงมาจากเฮลิคอปเตอร์คนที่กลัวตกขบวนรถไฟก็วิ่งเข้าซื้อหุ้น ซื้อทอง คนที่ติดแหง็กก็ขายหุ้น ทุกคนหน้าบานเป็นจานเปล เฉลิมฉลองเทศกาลซานตาครอสโปรยเงินกันอย่างชื่นมื่น
กระทั่งใน Facebook นี้ ยังมีคนมาขอแอดเป็นเพื่อนตั้งแต่คืนวันพุธจนถึงวันศุกร์เพิ่มอีกประมาณ 100 กว่าราย โอย นอกจากต้องอ่านมาก วิเคราะห์มาก พิมพ์มากแล้ว ยังต้องกดรับเพื่อนอีกมากด้วย แต่ก็ยินดี หากเพื่อนใหม่ๆ ที่เข้ามานั้น หวังว่าจะเข้ามาหาความรู้ไปด้วยกัน เพราะเขียนไปหากไม่มีใครอ่าน ก็จะเหมือนเราเป็นคนบ้า

แล้วหุ้นกับทองคำจะขึ้นไปอีกนานเท่าไหร่ล่ะพี่ตู่
ไม่รู้ดิ      
อ้าว ไรฟะ ไม่รู้แล้วมารับแอดเป็นเพื่อนทำไมละนี่
เอ๊อ บ้าป่ะ ก็ตอนเธอแอดมาขอเป็นเพื่อน ไม่เห็นบอกล่วงหน้าว่าจะมาถามดัชนีหุ้นนี่หว่า หากบอกก่อนจะได้ไม่รับ เพราะไม่ใช่กูรู แต่เป็น กูไม่รู้  ฮึ สมน้ำหน้า
และแล้ว อาการ Euphoria (ไปหาความหมายใน http://www.urbandictionary.com/) ในฝั่งตะวันตกก็วูบหายไป เพราะหลังจาก ดาวโจร ขึ้นไปเกือบ 500 จุดในวันพุธ มันก็ตกลงมานิดหน่อย 23 จุดในวันพฤหัส กับ 0.61 จุดในวันศุกร์ เหมือนเฮโรอีนหมดฤทธิ์ภายในคืนเดียว
เหมือนกับว่าหลังจากกรี๊ดสนั่น 1 วัน แล้ว คนกระหน่ำซื้อดันนึกขึ้นมาได้ว่า
เฮ้ย มันเป็นข่าวดีจริงไหม มันช่วยแก้ปัญหาจริงๆ ได้หรือเปล่า
บางคนบ้างจะซื้อก็คิดว่า จะรีบซื้อทำไม มันขึ้นไปเกิน 1000 จุดแล้ว น้ำก็ท่วม อะไรๆ มันยังไม่ชัด ปีหน้าโหราจารย์ทั้งหลายก็บอกเน่าแน่ๆ พินาศทั้งประเทศ ฯลฯ
ในขณะที่คนขายก็นึกขึ้นมาได้ว่า เฮ้ย เราขายหมูไปป่ะ ถ้ามันขึ้นไปมากกว่านี้มันน่าเสียดายที่รีบขายจัง 
หรือที่ขายไปแล้วก็นึกว่า เพี้ยง ... ขอให้คนซื้อมันซื้อมาเรื่อยๆ นะ ยังระบายของออกไม่หมดเลย
เนี่ยะ การเทรดหุ้นมันก็มีอารมณ์อย่างงี้ละ โดยเฉพาะสำหรับพวกวิ่งเข้าวิ่งออกช่วงสั้นๆ แต่ก็ต้องรับว่าการทำกำไร (หรือขาดทุน) ช่วงสั้นๆ มันเหมือนมีมนตรามหาระรวยมากำกับ  
แต่มีคนมากขึ้นๆ ทุกทีในฝั่งตะวันตกที่มาถึงข้อสรุปเดียวกันว่า ที่บอกว่าตลาดหุ้นเป็นตลาดกระทิงนั้น มันเป็นเรื่องโกหกหลอกลวง และเป็นระบบที่มีคอร์รัปชั่น

เขาคิดถูก แต่ไม่ได้คิดถูกด้วยเหตุผลที่เขาคิด

ไปอ่าน Forbes กันหน่อย เพื่อดูว่า ทำไมทุนนิยมที่เรารู้จักกัน มันไม่เวิร์คแล้ว Forbes บอกว่า

มีคนเพียง 0.1% เท่านั้นที่ได้กำไรจากการขายหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ (Capital Gain) เกินครึ่งของ Capital Gain ทั้งหมดในสหรัฐ

0.1% นี่มันแค่ 315,000 คนจากอเมริกันชน 315 ล้านคน

และ 0.1% นี่ละที่ทำกำไรได้เกินครึ่งของการขายหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ทั้งประเทศภายในปีเดียว

และไอ้เจ้า Capital Gain อันนี้ละที่เป็นรายได้ถึง 60% ของรายได้ทุกชนิดที่ทำได้โดย 400 บริษัทใหญ่สุดในรายชื่อที่ Forbes 400

อู้ว ....

เฮ่ย  อย่าเพิ่ง อู้ว ... ดิ  อ่านต่อก่อน

มานึกกันก่อนว่าไอ้เจ้า 0.1% ของพวกอเมริกันนี่ มันคือใครกัน

พวกที่ Occupy Wall Street เรอะ   คิม คาร์ดาเชียน ที่เพิ่งแต่งไม่กี่วันก็หย่าแล้ว เรอะ   คือคนข้างบ้านเราที่เป็นครูอนุบาล เรอะ ฯลฯ

ก่อนจะหาคำตอบ เรากลับไปย้อนดูปี 2003 ที่อดีตประธานาธิบกีสหรัฐ จอร์ช บุช จูเนียร์ ออกกฏหมายยกเว้นการเก็บภาษีจาก Capital gain และเงินปันผล กันก่อน กฏหมายนี้ใครได้ประโยชน์ คำตอบก็อยู่ตรงนั้นแหละ

เมื่อเดือนพฤษภาคม 2003 จอร์ช บุช ลงนามให้ กฏหมายลดภาษีในการลงทุน มีผลบังคับใช้

กฏหมายนี้มีทั้งการลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ลดภาษีจากเงินปันผลจากเดิม 39.6% เป็น 15% และลดภาษีกำไรจากการขายหุ้นกับอสังหาริมทรัพย์จากเดิม 20% เป็น 15%

บุช ออกกฏหมายนี้ก็เพื่อจูงใจให้คนลงทุนในตลาดทุนของอเมริกามากขึ้น ต้องการให้ภาคธุรกิจมีการขยายการลงทุนมากขึ้น คนจะได้มีงานทำแล้วจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น และต้องการช่วยให้ตลาดหุ้นสหรัฐฟื้นตัวจากการตกต่ำซบเซาหลังจากสูญเสียมูลค่าตลาดไป 6 ล้านล้านดอลลาร์เนื่องจากฟองสบู่หุ้นเทคโนโลยีแตกโพละในช่วง 1999-2000 แถมยังโดนกระหน่ำด้วยเหตุการณ์ 9/11 จนไปไม่เป็น 

ใช่ มันดูดีมาก ใครๆ ก็อยากให้รัฐลดภาษี ใช่ไหม และในขณะที่ลดภาษี ก็ต้องไม่ลดบริการและสวัสดิการภาครัฐด้วยนะเว่ย 

เหมือนที่เราชอบบอก เฮียเม้ง ที่ขายข้าวมันไก่ว่า เฮีย ข้าวมันไก่ พิเศษ ห่อนึง ข้าวเท่าเดิม ไก่เยอะๆ แต่อั๊วจ่าย 20 บาทนะ ไม่จ่าย 35 บาทแล้ว

เฮียไม่เอาปังตอสับคอเราก็บุญแล้ว

แต่นักการเมือง ไม่ใช่เฮียเม้ง

เฮียเม้งจะขายข้าวมันไก่หรือจะไม่ขายเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ได้อาศัยลูกค้าให้มาเลือกตั้งทุก 4 ปี แต่นักการเมืองไม่มีทางเลือก เพราะทุก 4 ปีต้องให้ลูกค้าเลือกเขาเข้ามาบริหารประเทศ

ดังนั้น อะไรๆ ที่ดูดีต่อกระเป๋าของลูกค้า ย่อมทำให้โอกาสเข้ามาบริหารประเทศสูง จริงมะ

ผู้ได้ประโยชน์จากกฏหมายนี้ น่าจะเป็นทุกคนที่ลงทุน ทั้งภาคธุรกิจ และภาคลงทุนในตลาดทุนอันรวมผู้คนทั่วไปด้วย แต่มันกลับเป็นว่ารวยกระจุก จนกระจุย

บริษัทใหญ่ๆ และคนรวยไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้ความมั่งคั่งจากการลดภาษีนี้ รวมถึง Hedged Funds ทั้งหลาย ที่บูมสนั่นหลังกฏหมายนี้มีผลบังคับใช้ 

ดูได้จาก It's crystal clear that the Bush tax reduction on capital gains and dividend income in 2003 was the cutting edge policy that has created the immense increase in net worth of corporate executives, Wall St. professionals and other entrepreneurs.Capital Gain ที่เป็นรายได้ถึง 60% ของรายได้ทุกชนิดที่ทำได้โดย 400 บริษัทใหญ่สุดในรายชื่อที่ Forbes 400

Capital gain tax นั้นเดิมทีก่อนปี 1978 มันเท่ากับ 35% แล้วก็ลดเป็น 28% ด้วยเหตุผลที่ต้องการผลักดันเศรษฐกิจและตลาดทุนให้ฟื้นขึ้นจากสภาพซบเซา

และในยุคของประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน มันก็ถูกลดลงมาด้วยเหตุผลเดียวกันไปอีก เหลือ 20% ในปี 1981

พอถึงวันที่ 19 ตุลาคม 1987 ก็เพิ่มขึ้น 8% เป็น 28% ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นช่วงนั้นฮวบฮาบลงมาถึง 23%

พอถึงปี 1997 ประธานาธิบดี บิล สามียัยฮิลลารี คลินตัน ก็ยอมลดลงมาเหลือ 20% อีกครั้ง ซึ่งช่วงนี้แหละที่ทำให้ Hedge Funds ทั้งหลายกับพวก Private Equity บูมสนั่น และเป็นจุดที่เร่งความมั่งคั่งให้ไปกระจุกอยู่ที่พวก 0.1% ของคนทั้งประเทศ

ทุกประธานาธิบดีที่ลดภาษีชนิดนี้จะบอกเหตุแห่งการลดภาษีว่าเพื่อทำให้เกิดความมั่งคั่ง

ใช่ ไม่ผิดเลย มันเกิดความมั่งคั่งจริง

แต่ความมั่งคั่งนั้นทำไมมันไปอยู่ที่คนเพียง 0.1% เท่านั้น ทำไมกลุ่มนี้ได้กำไรจากการขายหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ (Capital Gain) เกินครึ่งของ Capital Gain ทั้งหมดในสหรัฐภายในปีเดียว โดยคน 0.1% นี่มันแค่ 315,000 คนจากอเมริกันชน 315 ล้านคน !!

และหากเอาไปเทียบกับรายได้ทุกประเภทของประเทศแล้ว พวกอภิมหารวย 0.1% มีส่วนแบ่งในรายได้นั้นถึง 25% ซึ่งสูงกว่าตัวเลขของทุกประเทศใดใดในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมในช่วง 1979-2005

ไม่นานเกินรอเราคงได้เห็นว่าพวก 0.1% นี้มีใครบ้าง เพราะสื่อมวลชนคงจะตามเรื่องนี้แบบกัดติด แล้วคงจะมีม็อบไปชี้หน้าด่าพวกเขาว่าไอ้พวกเศรษฐีเห็นแก่ตัว
เออ คนจะรวยมันผิดตรงไหนฟะ หรือต้องจนให้เหมือนกันทุกคน มันถึงจะดี
ไม่ผิดเลยที่จะรวย แม้กระทั่ง Capital Gain tax ที่ 15% ก็ไม่ผิด และผู้ลงทุนก็ช้อบชอบ ซึ่งจะชอบมากกว่านี้ด้วยหากลดลงมาเหลือ 0% จริงป่ะล่ะ
แต่เมื่อคนตกทุกข์ได้ยาก ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องหาแพะ และมันง่ายที่จะชี้เป้าไปที่คนรวยๆ ว่าแกนั่นแหละต้นเหตุที่ทำให้ข้าเดือดร้อน
ก็คนพวกนี้เขาจะไม่เคยหาสาเหตุที่แท้จริงหรอก เพราะมันต้องใช้สมองมากไปซึ่งไม่ถนัด  ต้องใช้เวลามากไปซึ่งไม่บันเทิง  สู้ไปเย้วๆ ชี้หน้าด่าคนรวย แล้วข่มขู่เรียกร้องจากรัฐบาลมืออ่อนให้โปรยเงินในรูปแบบต่างๆ มาให้ตัวเองไม่ได้  มันง่ายกว่ากันเยอะ  แถมยังเท่ซะไม่มี
ใช่แล้ว ระบบถูกคอร์รัปชั่นครอบงำจนตกต่ำลงไปทุกที
แต่สาเหตุไม่ได้มาจากพวกรวยๆ 1% ที่พวก 99% ซึ่งไป Occupy Wall Street ร้องด่า ทั้งยังไม่ได้มาจากพวก 0.1% ที่ได้ประโยชน์จากการลดภาษี capital gain ด้วย และมันก็ไม่ได้มีเหตุมาจากการผ่อนคลายกฏระเบียบของธนาคารกลาง ไม่ได้มาจากการลดภาษี ไม่ได้มาจากพวก CEO เป็นคนโลภ (ทำธุรกิจหากไม่มีความโลภบ้าง จะทำธุรกิจจนมีกำไรได้อย่างไรล่ะ) และมันก็ไม่ได้เป็นเพราะระบบทุนนิยมมันห่วยแตก
เออ เว้ย แล้วมันเป็นเพราะอะไรล่ะ
เดี๋ยวสิ ใจเย็นๆ  เรื่องนี้ไม่ง่ายนัก ก็ขนาด Forbes ตามที่กล่าวไว้ข้างต้นยังเข้าใจผิดไปโทษพวก 0.1% เลย แล้ว Wall Street Journal ก็ยังไปไม่ถูกจุดเลยนี่ อย่าไปน้อยอกน้อยใจว่าทำไมเราโง่ (อันนี้หลอกด่า)
 
Wall Street Journal ลงข่าวว่า ทุนนิยมที่เรารู้จัก ไม่เวิร์คแล้ว แล้วก็ลงอีกบทความนึงว่า โมเดลแบบจีนเจ๋งกว่าระบบตลาดเสรีที่อเมริกาใช้
อู้ว .... หรือว่าอเมริกาอยากจะเป็นคอมมูนิดขึ้นมาละทีนี้
บทความใน Wall Street Journal อันนี้เขาเปรียบเทียบ ตลาดเสรีที่มีการโมดิฟายด์ (Modified market) กับ ตลาดเสรีแบบดั้งเดิมตามทฤษฎี (Free market) โดยผู้เขียนบทความสรุปปัญหาว่าเป็นเพราะ อเมริกาขาดความสามารถในการวางแผนและควบคุม เมื่อเทียบกับจีน ถึงได้ล้มเหลว สู้จีนไม่ได้ เพราะจีนมีการใช้ทุนนิยมไปผสมผสานกับคอมมูน ก็โมดิฟายด์นั่นแหละ โดยมีอำนาจควบคุมทั้งระบบเต็มที่
อาฮะ นั่นน่ะหรือคือสิ่งที่อเมริกันต้องการ
หรือคนอเมริกันต้องการให้มีแผนจากศูนย์กลางอำนาจมากขึ้น เท่าที่มีทุกวันนี้ยังไม่พออีกเรอะ
หรือว่าต้องการให้มีอำมาตย์กับชนชั้นปกครองมาชี้นิ้วสั่งให้เราดำเนินชีวิตอย่างไรมากขึ้น  จะได้มีเปรตคอยขอส่วนบุญประชานิยมมากขึ้น  เอางั้นเรอะ
มันน่าผิดหวังมากในช่วงวิกฤติเลห์แมนถึงวิกฤติซับไพรม์ในช่วงปี 2008-2009 ที่เราสามารถรอดพ้นวังวนด้วยการออกไปยืนห่างๆ ให้พ้นจากศูนย์กลางวิกฤติและไม่เสียงกับการโดนหางเลข แต่ก็มีคนจำนวนมากที่กระโดดลงไปในวังวนเพราะความโลภ แต่ทำไมคนฆ่าตัวตายจากวิกฤตินั้นแทบไม่มี คนที่ควรถูกตำหนิด่าว่าก็มีน้อย 

บางคนอาจจะเถียงว่าที่ไม่มีคนกระโดดตึกตายจากวอลสตรีทก็เพราะหน้าต่างมันล็อคแล้วทุกตึก
เออ ไอ้เบื๊อก
ความจริงที่ไม่มีเหตุการณ์อย่างนั้นก็เพราะว่า ทุกคนรู้ว่า ทุกปัญหามันจะมีคนแก้   
นี่ไงคำตอบ ทุกปัญหามันจะมีคนแก้
ถ้าเราเชื่อและทำตามระบบทุนนิยมเสรี จะลดภาษี จะขึ้นภาษี ก็ว่ากันไป ใครจะรวย ใครจะจน ก็ว่ากันไป  ใครจะเจ๊ง ก็ต้องปล่อยไป ใช่ไหม
ถ้าเราทำตามนั้น ไม่โมดิฟายด์ระบบ ทุนนิยมเสรีก็จะกวาดล้างแบงค์ที่ไปไม่ไหว กวาดล้างคนอ่อนแอ คนไม่สามารถให้หลุดพ้นออกไปหลังวิกฤติครั้งไหนๆ รวมถึงวิกฤติในปี 2008-2009
ซึ่งหากเรายอมให้ระบบมันทำงานของมัน ดัชนีดาวโจรอาจลงไปอยู่ที่ 6000 ไปแล้ว ไม่ใช่ระดับเป็นหมื่นอย่างวันนี้ และคนรวยๆ ก็จะเจ๊งไปสัก 10 ล้านล้านดอลลาร์ ต้องล้มละลาย  ธุรกิจที่แข่งขันไม่ไหว  หรือเน่าเฟะเพราะความโลภอย่างแบงค์ใน Wall Street ก็จะเจ๊ง ต้องผิดตัว ล้มละลาย ขายทรัพย์สิน เปลี่ยนมือ ฯลฯ
หากระบบทุนนิยมเสรี ทำงานอย่างเสรีแบบที่มันควรจะเป็น เราจะไม่เห็น Bank of America หรือ Goldman Sachs ออกมาผงาดในยุทธจักร Wall Street ให้คนหมั่นไส้กันอีก เพราะมันต้องล้มหายตายจากไป
นั่นคือจุดหมายปลายทางของวิกฤติในระบบทุนนิยมเสรี ซึ่งวิกฤติเกิดขึ้นก็คือเพื่อกันคนโง่ คนไร้สามารถ โดยเฉพาะคนโง่แต่รวย ให้ออกไปจากเงิน เพราะคนรวยย่อมเสียเงินมากกว่าคนจนๆ เนื่องจากเขามีเงินมากมายที่จะให้เสีย

ใครๆ ก็อยากรวย อยากมีอำนาจ อยากมีสถานะที่ได้รับการยอมรับในสังคม เพียงแต่คนรวยๆ มีโอกาสกว่าคนจนที่จะได้รับทั้ง 3 อย่างนี้
แต่พวกเปรตขอส่วนบุญมักต้องการไปถึงมันอย่างง่ายดายที่สุดและเร็วที่สุด
การไปให้ถึงได้ง่ายที่สุด เร็วที่สุดไม่มีอะไรดีไปกว่าการปล้นมันไปจากคนอื่น
คนรวยๆ ได้เงินปันผล ได้กำไรจากการขายหุ้น  นักการเมืองได้ส่วนแบ่งใต้โต๊ะ และได้เงินสนับสนุนแคมเปญพรรคจากคนรวยๆ
ชนชั้นกลางตกงาน หนี้ท่วมหัว บ้านโดนยึดซึ่งในไม่ช้าจะต้องโดนขายทอดตลาดราคาถูกๆ ไปให้คนรวย และชนชั้นกลางก็สูยเสียมาตรฐานที่ดีในการดำรงชีวิต

นั่นละ สิ่งที่รัฐบาลในประเทศทุนนิยมโมดิฟายด์ทำกัน
รัฐบาลอเมริกันยอมให้คนรวยได้ แต่เมื่อคนรวยๆ เช่นแบงค์ทำพลาดจาก Subprime และ CDOs แทนที่จะปล่อยให้กลไกทุนนิยมเสรีทำงาน รัฐบาลอเมริกันกลับไปฆ่าตัดตอนระบบทุนนิยมเสรีด้วยการอุ้มคนรวยด้วยการสนับสนุนตลาดหุ้นกับอสังหาริมทรัพย์ผ่านการอัดฉีดเงินดอกเบี้ยต่ำสุดๆ อย่างไม่ควรเป็นลงไปในระบบแบงค์ ผ่าน QE 1, QE2, QE3, … QEn  และแบงค์ก็ไม่ยอมเอาเงินนั้นไปปล่อยกู้ต่อสาธารณชนซึ่งกำลังลำบาก เพราะหากปล่อยกู้ก็จะเกิดผลดีต่อกระเป๋าเงินคนในวงกว้าง ซึ่งเป็นผลเสียต่อการปล้นโอกาสที่จะรวยมากขึ้น
สิ่งที่แบงค์ทำก็คือ เอาเงินกู้ราคาถูกของลุงเบนที่พิมพ์มาอัดฉีดระบบ ไปเก็งกำไรในสินทรัพย์เสี่ยง เช่นหุ้น
คนรวยๆ ที่พลาดพลั้ง ธุรกิจที่ไปไม่ไหวแล้วเช่นอุตสาหกรรมรถอเมริกันที่ไม่ทันสมัย ผลิตรถไม่ประหยัดพลังงานกลับได้รับการโอบอุ้ม แทนที่คนอเมริกันจะได้ใช้รถดี ราคาถูกกว่า ประหยัดน้ำมันกว่า ก็ต้องใช้รถราคาแพงเพราะรัฐบาลไปอุ้มอุตสาหกรรมรถ
แล้วมันทุนนิยมเสรีที่ตรงไหน คนที่เสียประโยชน์และจนลงไปทุกวันเพราะโดนปล้นความมั่งคั่งไปก็คือประชาชน
ทำไมรัฐบาลต้องช่วยคนพวกนั้นล่ะ
นั่นสิ ทำไม 
ลองไปดูสิว่าใครส่งเงินสนับสนุนพรรคการเมือง  นั่นคือคำตอบ
พวก Wall Street ทั้งนั้นเลยที่อยู่ใน Top List ที่จ่ายให้พรรคการเมืองมากที่สุด
ดังนั้น จึงไม่แปลกหรอกที่นักการเมืองจะสนับสนุนกฏหมายและการกระทำที่ช่วยคนรวย
อย่างนี้ละคอร์รัปชั่น และเป็นคอร์รัปชั่นระดับชาติที่กระทำโดยภาครัฐเลยทีเดียว
เพราะเมื่อแบงค์จะล้ม รัฐบาลก็ฉ้อฉลด้วยการเอาภาษีประชาชนไปช่วยอุ้ม จนงบประมาณรัฐปิดหีบไม่ได้ ต้องกู้ และกู้ๆๆๆ  มาใช้
พอแบงค์ยืนได้ แทนที่จะปล่อยกู้ให้ประชาชน กลับไปยึดบ้านเขา ปล่อยให้เขาไปกางเต๊นท์นอนน่าอนาถทั่วกรุง ทั้งๆ ที่บ้านที่ยึดมานั้นมันขายไม่ออก หยากไย่เพียบ เนรคุณเห็นๆ
พอสิ้นปี แบงค์ก็ Merry Christmas ให้กับตนเองด้วยโบนัสจำนวนน่าขนลุก แล้วแบ่งเงินส่วนนึงไปสนับสนุนพรรคการเมือง ส่วนประชาชนที่โดนปล้นความมั่งคั่งไปก็ต้องนอนหนาวสั่น อดอยาก หิวโหย ร้องไห้กันทุกคืนในเต๊นท์กันต่อไป และไม่มีคริสมาสสำหรับคนจน
พวก Hedge Fund ทั้งหลายก็พลอยฟ้าพลอยฝนจากการเสกแบงค์เข้าระบบของลุงเบนไปด้วย กำไรถ้วนหน้า
แต่มวลชนไม่เคยแสวงหาความจริง เขารู้แต่ว่าเขาโดนทอดทิ้ง แต่เพราะอะไรเขาไม่รู้ และไม่ค่อยสนใจหาความจริง  เขาเพียงแต่แสดงความโกรธแค้น แล้วชี้ไปที่คนรวย
สิ่งที่มวลชนทำคือ Occupy Wall Street
ทำไมถึงไม่ไป Occupy รัฐสภา ทำเนียบขาว ที่ Washington DC ล่ะ
มาดูอีกตัวอย่างนึงของการต่อยอดคอร์รัปชั่นด้วยการปิดปากคนรู้ทัน

เหตุการณ์ที่รัฐบาลส่งทหารอเมริกันไปรบนอกประเทศอย่างอิรัค อาฟกานิสถาน มันแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลและกองทัพคิดแต่จะจัดการกับพวกผู้ก่อการร้ายเท่านั้น แต่ไม่เคยเรียนรู้ที่จะชนะในสงครามที่แท้จริงเลย แล้วในวันนี้รัฐบาลก็เริ่มชี้ว่าพวกผู้ก่อการร้ายกำลังอยู่ในตะวันออกกลาง (ในไม่ช้าก็คงจะไปอยู่ที่ตะวันตกกลาง อยู่ที่นั่น อยู่ที่นี่ ฮ่าๆๆๆ)
แต่ตอนนี้ รัฐบาลเริ่มมองว่าผู้ก่อการร้ายที่แท้จริงคือคนอเมริกันที่อยู่ในประเทศแล้ว
Business Insider รายงานว่า....
กฏหมายใหม่เรื่อง การป้องกันภัยแห่งชาติ (National Defense Authorization Act) มันน่ากลัวมาก เพราะในปลายสัปดาห์นี้รัฐบาลสหรัฐมีแนวโน้มว่าจะผ่านกฏหมายฉบับนี้ ที่จะสามารถขังพวกเราชาวอเมริกันคนไหนก็ได้ตลอดชีวิตไว้ในคุกกวนตานาโม หรือในคุกลับของฐานทัพที่ไหนก็ได้ โดยไม่ต้องตั้งข้อกล่าวหา ไม่ให้มีทนาย และไม่มีการต่อสู้ในชั้นศาลตามกระบวนการยุติธรรม หากมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการก่อการร้าย
มันแปลว่าอะไรล่ะ

นั่นก็คือ คนอเมริกันจะไม่มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน พร้อมสิ้นเสรีภาพไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว รัฐบาลสามารถทำอะไรกับคุณก็ได้ โดยชี้หน้าว่า แก ไอ้พวกผู้ก่อการร้าย ไอ้ตัวภัยต่อความมั่นคง

โห ..... นี่มันย้อนไปในยุค 6 ตุลา ในประเทศไทยเลยนะนั่น

ต่อไปผู้ชุมนุมประท้วงอย่างสงบ อหิงสา ผู้เขียนบทความตีแผ่ความจริงเกี่ยวกับรัฐบาลในเรื่องคอร์รัปชั่น หรือในเชิงลบ  จะโดนข้อหาผู้ก่อการร้าย ผู้เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ แล้วโดนจับไปยัดคุกตลอดชีวิตโดยไม่ต้องไต่สวน ไม่ให้มีทนาย  ไม่ให้ขึ้นศาล

มันเป็นไปได้อย่างไรที่คนอเมริกันซึ่งเป็นประเทศเสรีที่สุดกลับยอมให้ตัวเองตกอยู่ในสภาวะแบบนี้

นี่ละจุดเริ่มต้นของคอร์รัปชั่น และจุดจบของทุกอย่าง

คอร์รัปชั่นจะนำไปสู่ความไม่พอใจ

ความไม่พอใจจะนำไปสู่การจราจล 

และการจราจลจะนำไปสู่ความเจ็บปวด


(คราวหน้าจะต่อด้วยเรื่อง คอร์รัปชั่นกับ Insider Trading ซึ่งจะเจาะลึกในกรณีอุ้มแบงค์)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น