ค้นหาบล็อกนี้

วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ทุกอย่างขึ้นกับผู้นำ

คุณวรวรรณ ธาราภูมิ
CEO บลจ. บัวหลวง

4 ธันวาคม 2554


สังคมใดที่ไม่ศึกษาและสนใจประวัติศาสตร์ สังคมนั้นก็พร้อมจะล้มเหลวได้ทุกเมื่อ เพราะขาดรากฐานที่จะนำไปศึกษาและต่อยอด

หากคำว่า ประวัติศาสตร์ ฟังแล้วโบราณ คร่ำครึก น่าเบื่อ ในความคิดของหลายๆ คน  ลองเปลี่ยนแนวคิดมามองประวัติศาสตร์กันใหม่ว่ามันก็คล้ายๆ Technical Analysis คล้ายๆ วิชาสถิติ และคล้ายๆ กับการศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ที่สนองตอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น

หากเราศึกษาวิเคราะห์เหตุการณ์ในอดีตทั้งสาเหตุและผลที่เกิดได้อย่างลึกซึ้ง โอกาสที่เราจะทำวันนี้ และวันหน้าได้ถูกต้องก็มีมากขึ้น  ในเชิงของการลงทุนก็จะเพิ่มผลตอบแทนของเราได้มาก และช่วยลดความเสี่ยงลงอีกด้วย

มีไหมล่ะ ที่คุณจะดุ่ยๆ ซื้อหุ้นปัจจัยพื้นฐานดีๆ ไปเลยโดยไม่ดูราคา ไม่ดูวอลลุ่มที่ Trade ในอดีต 

ไม่มีหรอกค่ะหากคุณเป็นนักลงทุนที่มีความรู้  เพราะก่อนจะซื้อหุ้น แม้เราจะศึกษาวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานจนพอใจแล้ว เราก็ต้องดูด้วยว่ามันเคยมีราคาซื้อขายในอดีตอย่างไร ใครเป็นผู้ชอบ/ไม่ชอบ หุ้นตัวนี้บ้าง ไม่ใช่ดุ่ยๆ กระโจนเข้าซื้อในตอนที่มันกำลังฮ็อตจนราคาพุ่งสูงสุด ใช่ไหม

ดังนั้น ประวัติศาสตร์ของหุ้นจึงเป็นอีกเรื่องที่เราควรรู้ไว้  เพื่อประกอบการตัดสินใจของเราในอนาคต

เอาละ โม้ไปข้างต้นมากมายพอแล้ว  มาเข้าเรื่องกันเสียที

ทั้งนี้ ต้องขอขอบพระคุณท่าน ผบ.กรม ๐๐๑๖ ที่ได้เขียนต้นเรื่องต่อไปนี้ไว้  ทำให้เรานำแนวคิดของท่านมาเผยแพร่และต่อยอดได้


ไม่รู้จริงๆ ว่าปัจจุบันนี้เขาสอนประวัติศาสตร์ไทยกันแค่ไหน  แต่สมัยเรียนนั้น เราถูกสอนให้ภูมิใจกับประโยคที่ว่า ไทยไม่เคยเสียเอกราช

ก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่าทำไมสอนกันมาอย่างนั้น ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว เราเคยเป็นเมืองขึ้นพม่า 2 ครั้ง แต่เราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นกับประเทศตะวันตกต่างหาก  เพราะเรายอมเสียส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่ในสมัย ร.๕

และการเสียเอกราชก็ไม่ได้แปลว่าเราจะสิ้นสุดชาติพันธุ์หรือเป็นจุดจบสิ้นของแผ่นดินไทย  หากเรายังมีผู้นำที่สามารถ 

ประวัติศาสตร์บันทึกว่าเราเสียเอกราชของกรุงศรีอยุธยา 2 ครั้ง ให้กับพม่า แต่ในความเป็นจริงแล้วเราเสียเอกราชมากกว่านั้น หากจะนับการเสียทางอ้อมด้วย

แล้วเสียเอกราชทางอ้อม มันเป็นยังไงล่ะ

ก็อย่างเมื่อตอนเราเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๑ ที่พระเจ้าบุเรงนองกวาดต้อนคนไทยและพระนเรศวรกับพระพี่นางสุพรรณกัลยา ฯลฯ ไปพม่าไง เพราะแม้จะตั้งพระบิดาของพระนเรศวรให้ครองอโยธยา แต่ก็ต้องอยู่ใต้ขัณฑสีมาของหงสาวดี จึงนับว่าเราไร้เอกราชแม้จะมีกษัตริย์ไทยนั่งเมือง

หรืออย่างกรุงรัตนโกสินทร์ช่วงที่ญี่ปุ่นบุกไทย เกิดขบวนการไทยถีบ เกิดเสรีไทย นั่นไง  เรามีรัฐบาลของเรา มีในหลวงของเราเหมือนเดิม  แต่เราก็ไม่มีอิสรภาพที่แท้จริง ใช่ไหม

และหากย้อนกลับไปศึกษาประวัติศาสตร์ในจุดนั้นให้ถ่องแท้และลึกซึ้ง เราจะเห็นเลยว่าคนที่กู้ชาติให้เราได้ทั้งในด้านการเมือง การปกครอง การทหาร เศรษฐกิจ และสังคม  ล้วนแต่เป็น ผู้นำ ทั้งสิ้น

ในกลุ่มประเทศแหลมทอง ได้แก่ ไทย ลาว เขมร เวียดนาม มาเลเซีย พม่า รวม 6ประเทศ มีอย่างนึงที่เหมือนกันมาแต่โบราณ นั่นก็คือ ………..

เมื่อใดที่มีผู้นำที่แข็งแกร่งและมีแสนยานุภาพ ประเทศจะเจริญรุ่งเรืองในทุกด้าน
  มาดูไทยในสมัยของพ่อขุนรามฯ พญาลิไทย สมเด็จพระนารายณ์ฯ สมเด็จพระนเรศวรฯ พระเจ้าตากสินฯ  สมัยรัตนโกสินทร์ในรัชกาลที่ ๑ ถึง ๖   มาจนถึงยุคจอมพล ป.  จอมพลสฤษฐ์  จะเห็นว่าประเทศไทยไม่ได้เป็นรองใครในภูมิภาคนี้เลย

เพราะอะไรล่ะ หากไม่ใช่เพราะผู้นำของเราเข้มแข็งและมีแสนยานุภาพ 

มายุคปัจจุบัน เรากำลังจะดีวันดีคืนไปกับแนวโน้ม Rising Asia แม้จะเจออุปสรรคน้ำท่วม แต่มันก็จะผ่านพ้นไปได้ ส่วนผู้นำคนปัจจุบันจะนำพาไทยไปได้ด้วยดีมีแสนยานุภาพแบบที่เราเคยเป็นหรือไม่ เราต้องพิจารณากันเอาเอง

มาดูเพื่อนบ้านอย่างลาวกันบ้าง 

จะดูลาว ต้องดูสมัยยังเป็นลานช้าง สมัยมีพระเจ้ามหาชีวิต ยุคต้นและยุคกลาง เพราะเป็นยุคที่รุ่งเรือง ส่วนยุคปัจจุบันนี้ คณะผู้นำลาวถือว่ามีเอกภาพในการปกครองและบริหารสูงมาก ประเทศกำลังพัฒนาไปได้อย่างถูกทางในทุกๆ ด้าน

แล้วเพื่อนบ้านแสนรักแสนสวาทอย่างกัมพูชาล่ะ

จะดูเขมร ต้องดูสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๗  เพราะเขมรดังยุคนี้ยุคเดียวในประวัติศาสตร์ และดังระดับโลกเสียด้วย หลังจากนั้นได้ผู้นำที่ไม่เอาอ่าวมาตลอด ประเทศจึงถอยหลังลงทะเลมาต่อเนื่อง 

แต่ในยุคปัจจุบัน ให้ดูสมเด็จฮุนเซ็นฯ  หากละวางซึ่งอคติแล้วจะเห็นว่าเขาปกครองบ้านเมืองได้เหมาะสมกับกาลเวลา เขมรกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ ที่ถูกที่ถูกทาง ถูกเวลา เช่นเดียวกับลาว นี่เพราะผู้นำเขาเข้มแข็ง
แล้วเวียดนามล่ะเป็นอย่างไร

เวียดนามยุคก่อนรัชสมัยของพระเจ้าเบ๋าได๋ เป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองประเทศหนึ่งในคาบสมุทรอินโดจีน ราชวงศ์เวียดนามในยุคต้นและยุคกลางมีความสามารถและแสนยานุภาพสูง  พอมายุคคอมมิวนิสต์ครองเวียดนาม ผู้นำคนผู้ยิ่งใหญ่ที่ชื่อ โฮจิมิน ได้วางรากฐานประเทศไว้จนเป็นปึกแผ่นในยุคปัจจุบัน 

ในวันนี้ คณะผู้ปกครองและบริหารเวียดนามก็ดำเนินรอยแบบเดียวกับ ลาว เขมร และ จีน ซึ่งทำได้ถูกที่ถูกเวลา ประเทศจึงรุ่งเรืองแบบก้าวกระโดด และกำลังจะทิ้งเพื่อนบ้านบางชาติไว้ข้างหลังในไม่ช้า
สำหรับมาเลเซีย เราต้องดู มหาเธร์ ใช่ไหม

ใช่แล้ว  จะดูมาเลเซียก็ต้องดู มหาเธร์  เพราะความโดดเด่นของเขาเมื่อเป็นผู้นำได้สร้างความเข้มแข็งให้มาเลเซียเป็นอย่างมาก

พอมาถึงปัจจุบัน มาเลเซียก็ยังคงมีคณะผู้ปกครองที่เข้มแข็งและหัวก้าวหน้าแบบเดียวกับมหาเธร์ไม่มีผิดเพี้ยน จึงนำพาประเทศไปสู่ยุคที่ ๓ ของมาเลเซียได้โดยไม่แพ้ชาติใดในภูมิภาค

แล้วพม่าล่ะ

พวกเราอาจจะไม่รู้ว่าพม่าเป็นชาติที่มีผู้นำที่โดดเด่นและต่อเนื่องกันมาแทบทุกยุค พม่าจึงยิ่งใหญ่ในแถบนี้มาตลอด จนสามารถตีกรุงอโยธยาของเราได้  แต่ต้องมาเสียท่าและหายออกจากวงจรไปในสมัยของ พระเจ้าสีป่อ ก็เพราะพระองค์อ่อนแอและไร้แสนยานุภาพในตน จนทำให้พม่าเสียเมืองให้อังกฤษไป

ลองมาส่องดูในสมัย เนวิน กันบ้าง  แต่ไม่ใช่ เนวินบุรีรัมย์  คนที่เรากล่าวถึงนี้คือ นายพลเนวิน ผู้ยิ่งใหญ่ของพม่า ซึ่งเป็นผู้นำที่โดดเด่น ถือว่านำประเทศข้ามรอยต่อระหว่างความอ่อนแอและความเข้มแข็งของพม่า จากการเดินหน้าฆ่าลูกเดียวมาเป็นการวางรากฐานที่ดีให้ประเทศ (จนกระทั่งเกิดการเรียกร้องประชาธิปไตยจากประชาชน รวมทั้ง อองซานซูจี ซึ่งหากมองในอีกแง่หนึ่ง พม่าอาจจะโชคดีที่ไม่เป็นประชาธิปไตยไปก่อนในขณะที่คนส่วนใหญ่ของประเทศยังไม่พร้อมก็ได้) แบบอย่างของผู้นำอย่างนายพลเนวินจึงเป็นบรรทัดฐานต่อมาให้รัฐบาลสลอค 

ถ้าถามว่าพม่าปัจจุบันนี้เข้มแข็งมั้ย ต้องตอบว่า แข็งไม่แข็งมหาอำนาจอย่างอเมริกาก็กินพม่าไม่ได้ ยูเอ็นทำอะไรพม่าไม่ได้ ยิ่งบ้านข้างๆ ยิ่งหมดปัญญา

มาวันนี้ พม่า เริ่มดำเนินนโยบายค่อยๆ เปิดประเทศแล้วอย่างถูกที่ ถูกเวลา  พม่าใช้จังหวะเปิดตัวได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป และเหมาะสมยิ่ง และไม่ได้รีบกระโดดงับประชาธิปไตยกับทุนนิยมเสรีแบบที่เพื่อนบ้านใกล้ๆ ทำไปก่อนหน้าจนเป็นปัญหาที่แก้ยากในปัจจุบัน

ก็ขนาดฮิลลารี คลินตัน ยังต้องไปงอนง้อขอพบผู้นำพม่าเลย คิดดูเอาเองแล้วกัน แล้วอย่าลืมเทียบภาพ/คำพูด ที่ฮิลลารีกับอองซานซูจี มีต่อกัน กับภาพ/คำพูด ของฮิลลารีและผู้นำไทยในวันที่เธอมาไทย ท่านอาจจะเห็นอะไรขึ้นมาอีกบ้าง

สิงคโปร์ล่ะ เป็นไงบ้าง

สิงคโปร์ ก็รุ่งเรืองเพราะผู้นำอีกเช่นกัน 

ลีกวนยู ชื่อนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก คนนี้ทำให้สิงคโปร์ก้าวหน้าในทุกด้านแบบกู่ไม่กลับ คนนี้นำเอาข้อด้อยของชาติกลับมาพลิกเป็นข้อเด่น จากชาติที่ไม่มีทรัพยากรอะไรเลยสักอย่าง ได้เอกราชมาก็ไม่นาน และประเทศก็มีอาณาเขตเล็กจิ๊ดเดียว เล็กกว่ากรุงเทพเสียอีก กลายมาเป็นชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจแห่งหนึ่งและยังเป็นมหาอำนาจในด้านธรรมาภิบาลอีกด้วย  อิจฉาไหมล่ะ

สิ่งที่ลีกวนยูมุ่งทำแบบสุดตัวมี ๒ เรื่อง คือพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ กับมุ่งพัฒนาบริหารช่องแคบสิงค์โปร์แบบต่อเนื่อง  

แนวทางนี้กระทำอย่างต่อเนื่องมาจนถึงยุคผู้นำปัจจุบัน ดูเอาแล้วกันว่า ประเทศกระจิ๊ดริดเนี่ยมาถึงไหนแล้ว

และทั้งหมดที่กล่าวมานั่นแหละ คือความสำคัญของ “ผู้นำ

เขียนมาทั้งหมดทั้งสิ้นทุกชาติแถบนี้  นึกได้ไหมว่า ทุกประเทศที่ว่านี้เคยแพ้เรา เคยเป็นเมืองขึ้นเรามาแล้วทั้งนั้น  เก่งขนาดไหน โดดเด่นขนาดไหน ผู้นำไทยไปกำราบและยึดครองมาแล้วทั้งสิ้น
ที่กำลังจะสรุปก็คือ การเสียเอกราชไม่ได้หมายถึงจุดสิ้นสุดของชาติพันธุ์  ไม่ได้หมายถึงจุดสิ้นสุดของแผ่นดิน เพราะตราบใดที่ประเทศยังมีผู้นำที่ดีและเป็นผู้มีแสนยานุภาพ ในทุกครั้งที่ประเทศนั้นเสียเอกราชไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม คนที่แก้ปัญหาหรือกู้ชาติให้คนในชาติได้ในทุกด้านก็คือ ผู้นำ ทั้งนั้น 
ขอให้เป็นอุทธาหรณ์ต่อประเทศไทย ในยามที่ไทยกำลังถอยหลังพ่ายแพ้ประเทศเพื่อนบ้านที่เคยเป็นเมืองขึ้นของเราทั้งนั้น  และเขากำลังแซงเราไปทีละประเทศแล้ว  เพราะเราขาดผู้นำที่ดีมีแสนยานุภาพ และมีความต่อเนื่องของนโยบายที่ถูกที่ ถูกทาง มานานหลายสิบปีแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น