คุณวรวรรณ ธาราภูมิ
CEO บลจ. บัวหลวง
4 ธันวาคม 2554
สังคมใดที่ไม่ศึกษาและสนใจประวัติศาสตร์ สังคมนั้นก็พร้อมจะล้มเหลวได้ทุกเมื่อ เพราะขาดรากฐานที่จะนำไปศึกษาและต่อยอด
หากคำว่า ประวัติศาสตร์ ฟังแล้วโบราณ คร่ำครึก น่าเบื่อ ในความคิดของหลายๆ คน ลองเปลี่ยนแนวคิดมามองประวัติศาสตร์กันใหม่ว่ามันก็คล้ายๆ Technical Analysis คล้ายๆ วิชาสถิติ และคล้ายๆ กับการศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ที่สนองตอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
หากเราศึกษาวิเคราะห์เหตุการณ์ในอดีตทั้งสาเหตุและผลที่เกิดได้อย่างลึกซึ้ง โอกาสที่เราจะทำวันนี้ และวันหน้าได้ถูกต้องก็มีมากขึ้น ในเชิงของการลงทุนก็จะเพิ่มผลตอบแทนของเราได้มาก และช่วยลดความเสี่ยงลงอีกด้วย
มีไหมล่ะ ที่คุณจะดุ่ยๆ ซื้อหุ้นปัจจัยพื้นฐานดีๆ ไปเลยโดยไม่ดูราคา ไม่ดูวอลลุ่มที่ Trade ในอดีต
ไม่มีหรอกค่ะหากคุณเป็นนักลงทุนที่มีความรู้ เพราะก่อนจะซื้อหุ้น แม้เราจะศึกษาวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานจนพอใจแล้ว เราก็ต้องดูด้วยว่ามันเคยมีราคาซื้อขายในอดีตอย่างไร ใครเป็นผู้ชอบ/ไม่ชอบ หุ้นตัวนี้บ้าง ไม่ใช่ดุ่ยๆ กระโจนเข้าซื้อในตอนที่มันกำลังฮ็อตจนราคาพุ่งสูงสุด ใช่ไหม
ดังนั้น ประวัติศาสตร์ของหุ้นจึงเป็นอีกเรื่องที่เราควรรู้ไว้ เพื่อประกอบการตัดสินใจของเราในอนาคต
เอาละ โม้ไปข้างต้นมากมายพอแล้ว มาเข้าเรื่องกันเสียที
ทั้งนี้ ต้องขอขอบพระคุณท่าน ผบ.กรม ๐๐๑๖ ที่ได้เขียนต้นเรื่องต่อไปนี้ไว้ ทำให้เรานำแนวคิดของท่านมาเผยแพร่และต่อยอดได้
ไม่รู้จริงๆ ว่าปัจจุบันนี้เขาสอนประวัติศาสตร์ไทยกันแค่ไหน แต่สมัยเรียนนั้น เราถูกสอนให้ภูมิใจกับประโยคที่ว่า “ไทยไม่เคยเสียเอกราช”
ก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่าทำไมสอนกันมาอย่างนั้น ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว เราเคยเป็นเมืองขึ้นพม่า 2 ครั้ง แต่เราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นกับประเทศตะวันตกต่างหาก เพราะเรายอมเสียส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่ในสมัย ร.๕
และการเสียเอกราชก็ไม่ได้แปลว่าเราจะสิ้นสุดชาติพันธุ์หรือเป็นจุดจบสิ้นของแผ่นดินไทย หากเรายังมีผู้นำที่สามารถ
ประวัติศาสตร์บันทึกว่าเราเสียเอกราชของกรุงศรีอยุธยา 2 ครั้ง ให้กับพม่า แต่ในความเป็นจริงแล้วเราเสียเอกราชมากกว่านั้น หากจะนับการเสียทางอ้อมด้วย
แล้วเสียเอกราชทางอ้อม มันเป็นยังไงล่ะ
ก็อย่างเมื่อตอนเราเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๑ ที่พระเจ้าบุเรงนองกวาดต้อนคนไทยและพระนเรศวรกับพระพี่นางสุพรรณกัลยา ฯลฯ ไปพม่าไง เพราะแม้จะตั้งพระบิดาของพระนเรศวรให้ครองอโยธยา แต่ก็ต้องอยู่ใต้ขัณฑสีมาของหงสาวดี จึงนับว่าเราไร้เอกราชแม้จะมีกษัตริย์ไทยนั่งเมือง
หรืออย่างกรุงรัตนโกสินทร์ช่วงที่ญี่ปุ่นบุกไทย เกิดขบวนการไทยถีบ เกิดเสรีไทย นั่นไง เรามีรัฐบาลของเรา มีในหลวงของเราเหมือนเดิม แต่เราก็ไม่มีอิสรภาพที่แท้จริง ใช่ไหม
และหากย้อนกลับไปศึกษาประวัติศาสตร์ในจุดนั้นให้ถ่องแท้และลึกซึ้ง เราจะเห็นเลยว่าคนที่กู้ชาติให้เราได้ทั้งในด้านการเมือง การปกครอง การทหาร เศรษฐกิจ และสังคม ล้วนแต่เป็น “ผู้นำ” ทั้งสิ้น
ในกลุ่มประเทศแหลมทอง ได้แก่ ไทย ลาว เขมร เวียดนาม มาเลเซีย พม่า รวม 6ประเทศ มีอย่างนึงที่เหมือนกันมาแต่โบราณ นั่นก็คือ ………..
“เมื่อใดที่มีผู้นำที่แข็งแกร่งและมีแสนยานุภาพ ประเทศจะเจริญรุ่งเรืองในทุกด้าน”
มาดูไทยในสมัยของพ่อขุนรามฯ พญาลิไทย สมเด็จพระนารายณ์ฯ สมเด็จพระนเรศวรฯ พระเจ้าตากสินฯ สมัยรัตนโกสินทร์ในรัชกาลที่ ๑ ถึง ๖ มาจนถึงยุคจอมพล ป. จอมพลสฤษฐ์ จะเห็นว่าประเทศไทยไม่ได้เป็นรองใครในภูมิภาคนี้เลย
เพราะอะไรล่ะ หากไม่ใช่เพราะผู้นำของเราเข้มแข็งและมีแสนยานุภาพ
มายุคปัจจุบัน เรากำลังจะดีวันดีคืนไปกับแนวโน้ม Rising Asia แม้จะเจออุปสรรคน้ำท่วม แต่มันก็จะผ่านพ้นไปได้ ส่วนผู้นำคนปัจจุบันจะนำพาไทยไปได้ด้วยดีมีแสนยานุภาพแบบที่เราเคยเป็นหรือไม่ เราต้องพิจารณากันเอาเอง
มาดูเพื่อนบ้านอย่างลาวกันบ้าง
จะดูลาว ต้องดูสมัยยังเป็นลานช้าง สมัยมีพระเจ้ามหาชีวิต ยุคต้นและยุคกลาง เพราะเป็นยุคที่รุ่งเรือง ส่วนยุคปัจจุบันนี้ คณะผู้นำลาวถือว่ามีเอกภาพในการปกครองและบริหารสูงมาก ประเทศกำลังพัฒนาไปได้อย่างถูกทางในทุกๆ ด้าน
แล้วเพื่อนบ้านแสนรักแสนสวาทอย่างกัมพูชาล่ะ
จะดูเขมร ต้องดูสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๗ เพราะเขมรดังยุคนี้ยุคเดียวในประวัติศาสตร์ และดังระดับโลกเสียด้วย หลังจากนั้นได้ผู้นำที่ไม่เอาอ่าวมาตลอด ประเทศจึงถอยหลังลงทะเลมาต่อเนื่อง
แต่ในยุคปัจจุบัน ให้ดูสมเด็จฮุนเซ็นฯ หากละวางซึ่งอคติแล้วจะเห็นว่าเขาปกครองบ้านเมืองได้เหมาะสมกับกาลเวลา เขมรกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ ที่ถูกที่ถูกทาง ถูกเวลา เช่นเดียวกับลาว นี่เพราะผู้นำเขาเข้มแข็ง
แล้วเวียดนามล่ะเป็นอย่างไร
แล้วเวียดนามล่ะเป็นอย่างไร
เวียดนามยุคก่อนรัชสมัยของพระเจ้าเบ๋าได๋ เป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองประเทศหนึ่งในคาบสมุทรอินโดจีน ราชวงศ์เวียดนามในยุคต้นและยุคกลางมีความสามารถและแสนยานุภาพสูง พอมายุคคอมมิวนิสต์ครองเวียดนาม ผู้นำคนผู้ยิ่งใหญ่ที่ชื่อ โฮจิมิน ได้วางรากฐานประเทศไว้จนเป็นปึกแผ่นในยุคปัจจุบัน
ในวันนี้ คณะผู้ปกครองและบริหารเวียดนามก็ดำเนินรอยแบบเดียวกับ ลาว เขมร และ จีน ซึ่งทำได้ถูกที่ถูกเวลา ประเทศจึงรุ่งเรืองแบบก้าวกระโดด และกำลังจะทิ้งเพื่อนบ้านบางชาติไว้ข้างหลังในไม่ช้า
สำหรับมาเลเซีย เราต้องดู มหาเธร์ ใช่ไหม
ใช่แล้ว จะดูมาเลเซียก็ต้องดู มหาเธร์ เพราะความโดดเด่นของเขาเมื่อเป็นผู้นำได้สร้างความเข้มแข็งให้มาเลเซียเป็นอย่างมาก
พอมาถึงปัจจุบัน มาเลเซียก็ยังคงมีคณะผู้ปกครองที่เข้มแข็งและหัวก้าวหน้าแบบเดียวกับมหาเธร์ไม่มีผิดเพี้ยน จึงนำพาประเทศไปสู่ยุคที่ ๓ ของมาเลเซียได้โดยไม่แพ้ชาติใดในภูมิภาค
แล้วพม่าล่ะ
พวกเราอาจจะไม่รู้ว่าพม่าเป็นชาติที่มีผู้นำที่โดดเด่นและต่อเนื่องกันมาแทบทุกยุค พม่าจึงยิ่งใหญ่ในแถบนี้มาตลอด จนสามารถตีกรุงอโยธยาของเราได้ แต่ต้องมาเสียท่าและหายออกจากวงจรไปในสมัยของ พระเจ้าสีป่อ ก็เพราะพระองค์อ่อนแอและไร้แสนยานุภาพในตน จนทำให้พม่าเสียเมืองให้อังกฤษไป
ลองมาส่องดูในสมัย เนวิน กันบ้าง แต่ไม่ใช่ เนวินบุรีรัมย์ คนที่เรากล่าวถึงนี้คือ นายพลเนวิน ผู้ยิ่งใหญ่ของพม่า ซึ่งเป็นผู้นำที่โดดเด่น ถือว่านำประเทศข้ามรอยต่อระหว่างความอ่อนแอและความเข้มแข็งของพม่า จากการเดินหน้าฆ่าลูกเดียวมาเป็นการวางรากฐานที่ดีให้ประเทศ (จนกระทั่งเกิดการเรียกร้องประชาธิปไตยจากประชาชน รวมทั้ง อองซานซูจี ซึ่งหากมองในอีกแง่หนึ่ง พม่าอาจจะโชคดีที่ไม่เป็นประชาธิปไตยไปก่อนในขณะที่คนส่วนใหญ่ของประเทศยังไม่พร้อมก็ได้) แบบอย่างของผู้นำอย่างนายพลเนวินจึงเป็นบรรทัดฐานต่อมาให้รัฐบาลสลอค
ถ้าถามว่าพม่าปัจจุบันนี้เข้มแข็งมั้ย ต้องตอบว่า แข็งไม่แข็งมหาอำนาจอย่างอเมริกาก็กินพม่าไม่ได้ ยูเอ็นทำอะไรพม่าไม่ได้ ยิ่งบ้านข้างๆ ยิ่งหมดปัญญา
มาวันนี้ พม่า เริ่มดำเนินนโยบายค่อยๆ เปิดประเทศแล้วอย่างถูกที่ ถูกเวลา พม่าใช้จังหวะเปิดตัวได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป และเหมาะสมยิ่ง และไม่ได้รีบกระโดดงับประชาธิปไตยกับทุนนิยมเสรีแบบที่เพื่อนบ้านใกล้ๆ ทำไปก่อนหน้าจนเป็นปัญหาที่แก้ยากในปัจจุบัน
ก็ขนาดฮิลลารี คลินตัน ยังต้องไปงอนง้อขอพบผู้นำพม่าเลย คิดดูเอาเองแล้วกัน แล้วอย่าลืมเทียบภาพ/คำพูด ที่ฮิลลารีกับอองซานซูจี มีต่อกัน กับภาพ/คำพูด ของฮิลลารีและผู้นำไทยในวันที่เธอมาไทย ท่านอาจจะเห็นอะไรขึ้นมาอีกบ้าง
สิงคโปร์ล่ะ เป็นไงบ้าง
สิงคโปร์ ก็รุ่งเรืองเพราะผู้นำอีกเช่นกัน
ลีกวนยู ชื่อนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก คนนี้ทำให้สิงคโปร์ก้าวหน้าในทุกด้านแบบกู่ไม่กลับ คนนี้นำเอาข้อด้อยของชาติกลับมาพลิกเป็นข้อเด่น จากชาติที่ไม่มีทรัพยากรอะไรเลยสักอย่าง ได้เอกราชมาก็ไม่นาน และประเทศก็มีอาณาเขตเล็กจิ๊ดเดียว เล็กกว่ากรุงเทพเสียอีก กลายมาเป็นชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจแห่งหนึ่งและยังเป็นมหาอำนาจในด้านธรรมาภิบาลอีกด้วย อิจฉาไหมล่ะ
สิ่งที่ลีกวนยูมุ่งทำแบบสุดตัวมี ๒ เรื่อง คือพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ กับมุ่งพัฒนาบริหารช่องแคบสิงค์โปร์แบบต่อเนื่อง
แนวทางนี้กระทำอย่างต่อเนื่องมาจนถึงยุคผู้นำปัจจุบัน ดูเอาแล้วกันว่า ประเทศกระจิ๊ดริดเนี่ยมาถึงไหนแล้ว
และทั้งหมดที่กล่าวมานั่นแหละ คือความสำคัญของ “ผู้นำ”
เขียนมาทั้งหมดทั้งสิ้นทุกชาติแถบนี้ นึกได้ไหมว่า “ทุกประเทศที่ว่านี้เคยแพ้เรา เคยเป็นเมืองขึ้นเรามาแล้วทั้งนั้น เก่งขนาดไหน โดดเด่นขนาดไหน ผู้นำไทยไปกำราบและยึดครองมาแล้วทั้งสิ้น”
ที่กำลังจะสรุปก็คือ การเสียเอกราชไม่ได้หมายถึงจุดสิ้นสุดของชาติพันธุ์ ไม่ได้หมายถึงจุดสิ้นสุดของแผ่นดิน เพราะตราบใดที่ประเทศยังมีผู้นำที่ดีและเป็นผู้มีแสนยานุภาพ ในทุกครั้งที่ประเทศนั้นเสียเอกราชไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม คนที่แก้ปัญหาหรือกู้ชาติให้คนในชาติได้ในทุกด้านก็คือ “ผู้นำ” ทั้งนั้น
ที่กำลังจะสรุปก็คือ การเสียเอกราชไม่ได้หมายถึงจุดสิ้นสุดของชาติพันธุ์ ไม่ได้หมายถึงจุดสิ้นสุดของแผ่นดิน เพราะตราบใดที่ประเทศยังมีผู้นำที่ดีและเป็นผู้มีแสนยานุภาพ ในทุกครั้งที่ประเทศนั้นเสียเอกราชไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม คนที่แก้ปัญหาหรือกู้ชาติให้คนในชาติได้ในทุกด้านก็คือ “ผู้นำ” ทั้งนั้น
ขอให้เป็นอุทธาหรณ์ต่อประเทศไทย ในยามที่ไทยกำลังถอยหลังพ่ายแพ้ประเทศเพื่อนบ้านที่เคยเป็นเมืองขึ้นของเราทั้งนั้น และเขากำลังแซงเราไปทีละประเทศแล้ว เพราะเราขาดผู้นำที่ดีมีแสนยานุภาพ และมีความต่อเนื่องของนโยบายที่ถูกที่ ถูกทาง มานานหลายสิบปีแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น