ค้นหาบล็อกนี้

วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554

วิกฤตอเมริกา ตอนที่ 2

วรวรรณ ธาราภูมิ

นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน
CEO บลจ. บัวหลวง จำกัด

22 สิงหาคม 2554

ตอนที่แล้ว จบด้วยคำว่า คนไม่เชื่อว่าภูเขาไฟจะระเบิด จนกว่าลาวาจะมาถึงตัว

เล่าไปในบทความหลายเรื่องแล้วว่าในหลายปีที่ผ่านมานั้นนักการเมืองสหรัฐได้ใช้เงินมากกว่าที่หาได้จากการจัดเก็บภาษี รัฐบาลได้กู้ยืมมาเพื่อทำให้คนอเมริกันมีชีวิตที่สุขสบาย เจริญรุ่งเรือง และทรงอำนาจ ทั้งๆ ที่ด้วยรายได้ของรัฐนั้นไม่เพียงพอที่จะเนรมิตสิ่งหรูหราสะดวกสบายขนาดนั้นให้คนอเมริกันได้

เมื่ออเมริกาต้องกู้ยืมอย่างหนักเพื่อไปสนองนโยบายนักการเมืองที่ต้องการชนะเลือกตั้ง จนกระทั่งทำให้คนในประเทศกลายเป็นเปรตที่เรียกร้องทุกอย่างจากรัฐไปแล้ว และในวันนี้อเมริกาก็มาถึงจุดที่ควรจะล้มละลายแล้ว แต่หากเลือกทางแก้ไขที่ถูกต้องเสียในวันนี้ ก็อาจจะรอด

แต่นักการเมืองจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร ในเมื่อเปรตฐานเสียงของเขากำลังเรียกร้องเงิน สวัสดิการและทุกๆ อย่าง มากขึ้นทุกที โดยไม่มีเหตุผล

มันยาวนานกว่า 150 ปีแล้ว ที่นักการเมืองรู้วิธีที่จะได้คะแนนเสียงเลือกตั้ง นั่นก็คือการใช้ผลประโยชน์ต่างๆ และระบบสวัสดิการสังคมมาเป็นเกมกำหนดและควบคุมคะแนนเสียง เพราะนักการเมืองสัญญาว่าจะให้นั่น ให้นี่ ให้มากขึ้นและมากขึ้น และหากนักการเมืองคนไหนกล้าพอที่จะพูดว่าจะให้ผลประโยชน์ต่อประชาชนมากเท่ากับภาษีที่ประชาชนเสียให้รัฐ เขาก็โกหก

เพราะอะไร

ก็เพราะทุกระบบมีต้นทุนในการบริหาร เราจึงต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลกับภาครัฐ และเมื่อสวัสดิการสังคมขยายความออกไปไกลขึ้น คนก็ยิ่งต้องการประโยชน์จากมันมากขึ้นและมากขึ้น การเรียกร้องให้มีการกำกับควบคุมมากขึ้นๆ ก็ต้องใช้กำลังคนทำหน้าที่มากขึ้น และแล้วผลประโยชน์ก็ขยายกว้างไกลจนเกินกว่าที่รายได้ของประเทศจากภาษีจะรองรับความต้องการที่ไม่สิ้นสุดของเปรตได้

และไม่มีใครแก้ปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัวได้ด้วยการก่อหนี้เพิ่มขึ้นไปอีกแบบที่สหรัฐทำมาโดยตลอด

รัฐบาลสหรัฐกู้เงินจากประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น จีน อินเดีย ญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง ไทย ฯลฯ ด้วยการขายพันธบัตรสหรัฐให้ และที่ผ่านมานั้น ทุกประเทศก็เต็มใจให้กู้เนื่องจากถือกันว่าเป็นหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคง ปลอดภัยสูงสุด ยังไงๆ ก็จะได้หนี้คืนพร้อมดอกเบี้ยตามกำหนดทุกครั้งแน่ๆ  
จนกระทั่งมาถึงวันนี้ วันที่เจ้าหนี้หวั่นเกรงว่าฐานะการเงินการคลังของอเมริกาเริ่มสั่นคลอนแล้ว การซื้อ
พันธบัตรสหรัฐที่ถูกลดอันดับความน่าเชื่อถึงลงมาเหลือ AA+ ซึ่งแม้จะยังดูดีอยู่ แต่ก็จ่ายดอกเบี้ยต่ำเตี้ยเรี่ยดินในอัตราล่าสุดไม่ถึง 2% มันคงจะเป็นการฉลาดน้อยที่สุด

แม้ว่า คุณปู่อลัน กรีนสแปน คุณลุงบัฟเฟต คุณลุงเบน เบอร์นันเก้ กับ อาพอล ครุกแมน ฯลฯ จะดาหน้ากันออกมากล่าวว่า เจ้าหนี้จะกลัวหนี้สูญไปไย ยังไงๆ สหรัฐก็พิมพ์แบงค์ดอลลาร์มาจ่ายคืนให้ได้

เอิ้กกกก.... เจ้าหนี้เริ่มเรอ 

ก็หากวันหนึ่ง ประเทศเจ้าหนี้เริ่มปิดก๊อกล่ะ สหรัฐจะทำไง

หากไม่ปิดก๊อก แต่ต้องการอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นเพื่อคุ้มกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นล่ะ ดอกเบี้ยในสหรัฐก็จะพุ่งสูงขึ้นตามไปด้วยใช่ไหมล่ะ แล้วอเมริกาทั้งประเทศก็จะมีดอกเบี้ยทุกอย่างเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะดอกเบี้ยกู้ยืม เครดิตการ์ด และดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย

แล้วจะรับไหวไหม

เอิ้กกกกกกกกกกก ... คราวนี้ลูกหนี้เรอบ้าง แต่เรอดังกว่า และยาวนานกว่า

นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เชื่อว่าอีกไม่นาน รัฐบาลสหรัฐจะไม่สามารถกู้ได้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำๆ อีกแล้ว ลองมาดูข่าวนี้กัน
เทศบาลและรัฐต่างๆ ในสหรัฐกำลังมีปัญหาในการกู้ เมื่อกู้ไม่ได้ก็เลยต้องตัดงบประมาณต่างๆ เช่นการรักษาความปลอดภัย หยุดให้ความช่วยเหลือในสวัสดิการต่างๆ เช่น การรักษาพยาบาล และแม้แต่ถนนที่เคยลาดยางอย่างดี (ไม่รู้ถนนไร้ฝุ่นหรือเปล่า) เมื่อผุพังก็ต้องซ่อมด้วยกรวด

ที่รัฐ Alabama นั้น รู้กันมานานแล้วว่าไม่มีเงินพอที่จะจ่ายบำนาญชราภาพให้แก่เจ้าหน้าที่รัฐ ในปี 2007 เจ้าหน้าที่รัฐจึงฟ้องศาลเพื่อให้สั่งรัฐนำเงินมาให้กองทุนบำนาญ แต่รัฐไม่ทำตาม และในที่สุดเงินในกองทุนบำนาญก็หมดไปเพราะต้องจ่ายให้คนเกษียณก่อนตามลำดับ

นี่ก็เพราะรัฐไม่สามารถกู้ยืมได้ เลยต้องหยุดส่งเช็ครายจ่ายบำนาญประจำเดือนให้ผู้เกษียณแล้ว ซึ่งเป็นการผิดกฏหมายของรัฐที่กำหนดให้รัฐจ่ายเงินบำนาญตามที่สัญญาไว้เต็มจำนวน และก็ไม่เห็นมีใครออกมาบังคับใช้กฏหมายได้เลย ทำให้ Nettie Banks อดีตตำรวจอายุ 68 ปี ถูกฟ้องล้มละลาย ทำให้ Alfred Arnold อดีตหัวหน้าดับเพลิงอายุ 66 ปี ต้องกลับไปทำงานเป็น รปภ.ช็อปปิ้งมอลล์ เพื่อรักษาบ้านไว้คุ้มหัวนอน ทำให้ Eddie Ragland อดีตนักดับเพลิงอายุ 59 ปี ต้องไปเก็บขวดขายเพราะต้องออกจากงานเนื่องจากถูกโจรยิงจนบาดเจ็บสาหัสในขณะที่เป็นตำรวจสนามบิน จนกลับไปทำงานแบบเดิมไม่ได้ และที่แย่กว่านั้นก็คือ ที่บ้านเขาไม่มีไฟฟ้าและน้ำประปาอีกแล้ว ทุกอย่างถูกตัดเพราะไม่มีเงินจ่าย

นี่ไง อะไรที่คาดคิด มันก็เกิดขึ้นได้

และจากระดับท้องถิ่น ระดับเทศบาล ระดับรัฐ มันจะขยายไปในระดับประเทศ หากอเมริกากู้ยืมไม่ได้ และจำต้องใช้เงินเท่าที่หาได้จากการเก็บภาษี

นั่นก็คือ เครดิตการ์ด ของสหรัฐ จะต้องถูกตัดสักวันหนึ่ง

และวิกฤติของจริงถึงจะเกิดขึ้น เมื่อรัฐไม่มีเงินพอที่จะจ้างงาน ครูถูกปลด นักดับเพลิง ตำรวจ คนเก็บขยะ ถูกปลด สวัสดิการถูกลดหรือยกเลิก ไม่มีแล้วสวัสดิการสุขภาพ สวัสดิการคนว่างงาน บำนาญก็ไม่มีให้

แต่รัฐบาลยังเชื่อว่าปัญหาจะไม่มี เพราะมีไม้วิเศษแบบ แฮร์รี่ พอร์ตเต้อร์

ไม้วิเศษนี้หากใช้อีก ก็จะยิ่งทำให้ทุกอย่างราคาแพงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน อาหาร เสื้อผ้า ฯลฯ ในขณะที่ทำให้มูลค่าของเงินออมกับเงินที่คนสะสมเพื่อเกษียณลดลงเพราะเงินเฟ้อ เนื่องจากดอลลาร์เสื่อมค่าลง ไม้วิเศษนั้นคงรู้แล้วว่าคืออะไร

QE ไง คือการพิมพ์แบงค์กระดาษออกมาเรื่อยๆ จนไม่มีใครอยากรับดอลลาร์อีกแล้ว ใครขายของให้อเมริกาเช่นเคยขายส้มให้ใบละ 1 ดอลลาร์ ก็อาจขอขึ้นราคาเป็น 20 ดอลลาร์ แบบที่เคยเกิดที่อาร์เจนตินา และอีกหลายๆ ประเทศ

หากสหรัฐถูกตัดบัตรเครดิต ไม่มีใครยอมให้กู้อีก นอกจากเศรษฐกิจจะล่มจมแล้ว ยังอาจเกิดจราจล และความไม่สงบลุกลามไปทั่วประเทศอีกด้วย

ในอดีตหลายปีมาแล้ว ประเทศนี้อยู่ดี มีสุข ภ่ยใต้การใช้จ่ายที่คำนึงถึงรายรับ ไม่ใช้เกินตัว ในยุคนั้น Thomas Jefferson  ผู้เพิ่งได้รับชัยชนะเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีได้เดินเท้าไปตามถนนเพนซิลเวเนีย เพื่อไปร่วมพิธีการแต่งตั้ง  และเขาก็สนทนาทักทายกับคนอเมริกันที่เขาพบตามถนนอย่างอบอุ่นเป็นกันเอง

แต่เดี๋ยวนี้ เมื่อประธานาธิบดีสหรัฐเดินทาง เขาทำตัวอย่างกับพระมหาจักรพรรดิ์ผู้ร่ำรวยที่สุด

เมื่อประธานาธิบดี บุช ไปพักผ่อนที่ Crawford, Texas  เขาใช้ Air Force1  ซึ่งเพียงแค่ค่าเที่ยวบินนั้นก็เท่ากับ
250,000 ล้านดอลลาร์แล้ว

นั่นยังไม่ได้รวมค่าเที่ยวบินขนส่งที่บรรทุกรถลิมูซีนกับเฮลิคอปเตอร์อีกหลายลำของท่านประธานาธิบดีด้วย ทั้งยังไม่ได้รวมถึงเงินเดือนค่าจ้างของพนักงานอีกหลายร้อยคนที่ทำหน้าที่ภาคพื้นดินและประสานงานการจัดโปรแกรมท่องเที่ยวด้วยซ้ำ

และไม่เพียงแต่บุช ที่ทำอย่างนั้น

มีข่าวซุบซิบวงใน ว่าในช่วงที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา เดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับอินเดียเมื่อไม่นานมานี้  เขามีผู้ติดตามถึง 3,000 คน ต้องใช้เครื่องบิน 40 ลำ และรถยนต์กันกระสุน 6 คัน ซึ่งมี 1 คันที่บรรทุกจรวดนิวเคลียร์เผื่อจำเป็นต้องใช้ไปด้วย โอ้ ดราม่ามาก

นอกจากนี้ ทริปอินเดียยังต้องใช้ห้องพักถึง 870 ห้องในโรงแรม 5 ดาว แสนหรู ชื่อ ทัชมาฮาล 

ค่าใช้จ่ายของอภิมหาทริปเที่ยวนี้ เกินกว่า 200 ล้านดอลลาร์ต่อวันทีเดียว

การล้างผลาญงบประมาณแผ่นดินแบบนี้มันระบาดไปทั่วในทุกระดับเจ้าหน้าที่รัฐ

ตัวเลขของสำนักงานสถิติแรงงานแห่งชาติระบุว่า เจ้าหน้าที่รัฐได้รับเงินดือนสูงกว่าเอกชนในระดับเดียวกันถึง 20%  และหากรวมผลประโยชน์กับสวัสดิการรัฐด้วยแล้วมันจะสูงกว่าถึง 50% !!!

ตลกที่ขำไม่ออกก็คือ พนักงานรัฐที่ทำหน้าที่ช่วยชีวิตคนในแคลิฟอร์เนียกว่าครึ่งมีรายได้มากกว่า $150,000 ต่อปี

การที่ Lifeguardsที่ทำเงินได้ ปีละมากกว่า $150,000 จากเงินภาษีของคนอเมริกัน มันแปลว่ารัฐใช้เงินอย่างเกินการควบคุมไปแล้ว ใช่หรือไม่

และจากการตรวจสอบแบบ สตง. พบว่า สถาบันสาธารณะสุขแห่งชาติจะใช้เงิน $2.6 ล้านเพื่อวิจัยว่าการดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มโอกาสในการติดเชื้อ HIV แก่โสเภณีชาวจีนหรือไม่

มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ใช้เงิน $500,000 เพื่อศึกษาว่ากุ้งที่ป่วย มันฟื้นตัวด้วยการออกกำลังบนสายพานวิ่งได้อย่างไร

สถาบันจิตเวชในนิวยอร์ค จ่ายเงินอุดหนุนการศึกษาว่าทำไมเกย์ชาวอาร์เจนติน่าถึงได้มีพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงทางเพศในขณะที่ดื่มสุรา

และรัฐบาลยังจ่ายเงิน $80,000 เพื่อศึกษาว่าทำไมทีมบาสเก็ตบอล NCAA ถึงได้ชนะในเดือนมีนาคมอยู่เรื่อย

มันไม่มีปัญหาหรอก หากเงินที่จ่ายในเรื่องบ้าๆ บอๆ เหล่านี้ มาจากเงินของรัฐจริงๆ  แต่ปัญหาก็คือรัฐบาลสหรัฐไม่มีเงินออม

และที่แท้จริงแล้ว อเมริกากลับไปใช้เงินออมของชาติอื่น เช่น จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ตะวันออกกลาง ฯลฯ โดยกู้เพื่อไปอุดหนุนความบ้าๆ บอๆ เหล่านั้น !!!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น